ถ้อยคำของแม่

  ายใจเข้า  ลมหายใจกระทบจมูก ช่องแห่งหัวใจรับรู้ เรารู้สึกแล้ว ผัสสะเกิดขึ้นแล้ว การหายใจเกิดขึ้นมา ลมหายใจบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกาย เรากำลังมอบความรักแก่ชีวิตในปัจจุบันขณะ หายใจออก  เราโอบอุ้มร่างกายและจิตใจก่อนคลายออก โอบอ้อมกระแสลมสู่กายและคลายอ้อมจิตคืนสายลมสู่ธรรม เพราะมีแม่ จึงมีสรรพสิ่งต่างๆ เมล็ดพันธุ์ที่ร่วงหล่น ย่อมมีความเป็นต้นไม้ที่มา ในลูกนั้นย่อมมีแม่อยู่เสมอ ทว่าแม่นั้นมิใช่เพียงบุคคล เพราะเราเองก็มีแม่อยู่ในตนอีกด้วย เป็นผู้ให้กำเนิด บำรุงเลี้ยง อ้อมกอด และความรัก สิ่งเหล่านี้ดำรงในเลือดเนื้อและชีวิตชีวาลูกน้อย ขณะเราจรดปลายปากกา เราตั้งครรภ์ความคิดรู้สึกรู้สา คลอดถ้อยคำและเรื่องราวสู่โลกหน้ากระดาษ เราได้ชื่อเป็นผู้เลี้ยงดู คอยดูแลตรวจตราและปรับแต่งงานเขียน เรารับลูกคนนี้ไว้ในอ้อมแขน ถนอมและปกปักษ์รักษา มิให้ใครยื้อแย่ง หวงแหน เป็นเจ้าของชิ้นงาน เราอาจให้กำเนิดถ้อยคำเหล่านี้ ด้วยความรักและแรงสร้างสรรค์ หรืออาจคลอดเพราะใจอยากผลประโยชน์ หวังเงินทอง ความยินดี และการประกาศตัวตนให้เป็นที่ล่วงรู้ ความเป็นแม่ดำรงอยู่ในจิตใจ การถือกำเนิดเกิดขึ้นทุกขณะ ในชั่วพริบตา เรารับรู้ถ้อยคำนานา ความรู้สึกมาตกกระทบ ประสมเชื้อความจำในวันวานที่กอบเก็บ ตั้งครรภ์ความคิดนึก ปรุงแต่งเป็นตัวตน คลอดชีวิตเราในแต่ละวินาที เราต่างเป็นแม่ ผู้มีพลังสร้างสรรค์ มีมือที่สามารถหยิบยื่นและเพาะปลูกสิ่งต่างๆ แก่บ้านหลังใหญ่ เราสามารถประดิษฐ์ความคิด ความรู้สึก… Continue reading ถ้อยคำของแม่

พามือเธอวางที่สายธาร

  หายใจเข้า  ณ ปลายจมูก เราสัมผัสกระแสแห่งชีวิต กลุ่มละอองลมหายใจ ไหลคล้อยเข้ามา ลึกยาวเพียงใด ให้กายใจสัมผัสรับรู้ หายใจออก  ร่างกายและลมหายใจ สัมผัสอ่อนโยนก่อนลับลาจากกัน หากลมหายใจเรายังคงมิอาจวางใจแข็งเกร็งเกินผ่อนคลาย หรือเร่งร้อนรน ลองสัมผัสด้วยการรับรู้ ให้เวลากับการพบและพรากจาก อ้อยอิ่งในปัจจุบัน สัมผัสลมหายใจเข้าออกอย่างทะนุถนอมด้วยรัก ชีวิตเราเหมือนสายธารอย่างไร หากเรามีสมุดบันทึกส่วนตัว หรือมีสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งตนได้จารึกการเดินทางของหัวใจและชีวิต ลองย้อนไล่เรียงอ่านทวน จากวันนี้สู่วันวาน จากช่วงนี้สู่อดีต จากเดือนก่อนสู่ปีก่อน ราวเดินย้อนสายน้ำหาจุดเริ่มต้น ชีวิตเราเหมือนสายธารอย่างไร หายใจเข้า ตรึกตรองไว้ในหัวใจเรา สำหรับนักเรียนการเขียนเยียวยาหรือผู้สนใจบันทึกดูแลตนเอง หยิบอุปกรณ์ขึ้นมา เขียนใคร่ครวญ ชีวิตเราเหมือนสายธาร การเดินทาง การเปลี่ยนแปลง และความลื่นไหล หายใจออก ลมหายใจเราเหมือนกระแสน้ำอย่างไร ใช้กายใช้ใจอ่านรับรู้ แล้วค่อยคล้อยหายใจเข้าอีกครา เขียนการทบทวนด้วยลมหายใจเข้า  สัมผัสกระแสธารที่ไหลรินสู่ร่างกาย ลึกลง ลึกลง ก่อนอีกกระแสธารหนึ่งวกย้อนเดินทางออกมา สู่อากาศภายนอกและท้องฟ้าจรดไกล สิ่งใดใดในจักรวาล เป็นอย่างน้อยสองลักษณะในตัวเอง อยู่ที่บริบทและการสังเกต หนึ่งเป็นก้อน หรือเราอาจเรียกเป็นอนุภาค สองเป็นกระแสธาร หรือเราอาจเรียกว่าเป็นคลื่น ลมหายใจเรานี้ก็เป็นละอองธุลีในอากาศ ล่องลอยอยู่ในห้อง… Continue reading พามือเธอวางที่สายธาร

ใจแรกจับปากกา

  หายใจเข้า  เราเริ่มหายใจอีกคราครั้ง แม้เราหายใจมาหลายเวลา ก่อนหน้านี้ เรากำลังเริ่มหายใจใหม่ นี่คือลมหายใจแรกและลมหายใจสำคัญห หายใจออก  แม้เราพบเจออักษรนับหมื่นนับแสนหน เรากำลังเริ่มอ่านใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น การเริ่มต้นทำสิ่งใดเป็นครั้งแรก มักประทับไว้ในหัวใจเรานานนับนาน ประหนึ่งความรู้สึกแรกพบเป็นรากให้ต่อยอดความรู้สึกรู้สาในเวลาต่อมา เรากำลังสดใหม่ การรับรู้ทุกประสาทตื่นตัว หัวใจสนใจ มิมีร่องรอยความคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ก่อนหน้า ทุกอย่างจึงเป็นไปได้ ระลึกในใจระหว่างอ่านอักษรต่อไปนี้ เรากำลังพบสิ่งหนึ่งเป็นครั้งแรก สิ่งหนึ่งที่ว่านี้คือสิ่งที่เราชอบหรือมีคุณค่าต่อหัวใจ นึกถึงช่วงเวลาแรกพบกับสิ่งนั้น ชีวิตเราอยู่ในช่วงวัยใด พบกับสิ่งนี้อย่างไร ยามแรกพบพาใจรู้สึกอย่างไรบ้าง ตระหนักถึงความคิดและพลังที่เรามีในยามนั้น หายใจเข้า  ระลึกในใจระหว่างอ่านอักษรดังนี้ เลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งในชีวิตตอนนี้ ที่เรารู้สึกเบื่อ จำเจ หรือหมดพลังจะทำสิ่งนี้ต่อไป ตระหนักว่าเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ตอนนี้แล้วรู้สึกอย่างไร หายใจออก พาเราโบยบินย้อนวันเวลา ช่วงเวลาหนึ่งในอดีต ยามแรกพบระหว่างเรากับสิ่งนี้ เราพบเจออย่างไร ลองมองหรือคิดถึง ด้วยดวงตาใจแรกพบเจอ หัวใจรู้สึกอย่างไร เห็นอะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้ การทำสิ่งใดซ้ำๆ ย่อมทำให้คุ้นเคย และเชี่ยวชาญได้ ทำให้สิ่งที่ยากง่ายลง ไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายเหมือนแต่ก่อน การหัดเล่นเปียโนครั้งแรก นิ้วมือเราย่อมแข็งเกร็ง กว่าจะกดดนตรีเล่นนิ้วพลิ้วราวละลอกน้ำ ย่อมต้องผ่านความอดทนและบังคับนิ้วเนิ่นนาน แรกการเขียนก็เช่นเดียวกัน มือเราอาจยังเขินอายต่อหน้ากระดาษ มิรู้จะทักทายและจารึกถ้อยคำใด ความกลัวนานาปรากฏในหัวใจเรา… Continue reading ใจแรกจับปากกา

อารมณ์ศิลปิน

  หายใจเข้า  เรามีผู้สร้างสรรค์อยู่ในร่างกายและหัวใจเรา หายใจออก  สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น  สิ่งเก่าล่วงดับลงนับหลายครั้ง เพียงหนึ่งลมหายใจ เมื่อมองยังเพื่อนหรือใครอื่นผู้มีวี่แววทางศิลปิน เรามักติดภาพลักษณ์ทางใจเห็นพวกเขามักเป็นคนมีความรู้สึกอันพิเศษ  เป็นตัวของตัวเอง  มีหัวใจโบยบินตามความรู้สึกและลงมือทำตามที่รู้สึกนั้น  เรายังอาจมิทันศึกษาความเป็นศิลปินอย่างเข้าใจถ่องแท้ จึงพลาดโอกาสน้อมนำความเป็นผู้สร้างสรรค์ในตัวเรามาใช้อย่างรู้ค่ารู้คุณ ศิลปินมิใช่ผู้วิเศษ เราต่างมีความเป็นศิลปิน เพราะหัวใจเราต่างมีความรู้สึกอันพิเศษ พลังที่อยู่เหนือความอยากได้ ใคร่มีใคร่เป็น แต่ความพิเศษนั้นจะมีประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อถูกฝึกฝนและขัดเกลา เยี่ยงการสกัดเพชรหินล้ำค่าจากหินกระด้าง เฉกเช่นการลับคมลมหายใจ เมื่อเรากลับมาอยู่กับลมหายใจอย่างเต็มที่เท่านั้น เราจึงรู้พลังที่หล่อเลี้ยงชีพชีวาละเอียดลออ และหายใจอย่างมีคุณค่าได้ที่สุด หายใจเข้า  เราไม่จำเป็นต้องทำงานศิลปะหรือเขียนงานวรรณกรรม แต่เราสามารถน้อมนำทิศวิถีการเรียนรู้เยี่ยงศิลปินบ่มเพาะชีวิตเราและผู้อื่นได้  เพราะลำพังความรู้มิอาจเติมเต็มชีวิตได้ครบถ้วน เพียงเหตุผลมิอาจทำให้เราเข้าใจตัวเองและใครต่อใครได้ จะใช้ชีพชอบอย่างเกื้อกูลตนเองกับสังคมต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ การเรียนรู้ผ่านหลักสูตรเขียนเปลี่ยนชีวิต ผมแนะนำให้ผู้เรียนไม่รออารมณ์พา ไม่ลงมือทำเพราะมีอารมณ์ชักนำ  แต่ให้สร้างความรู้สึกที่มุ่งหมายปรารถนาพัฒนาตนเองและลงมือทำ  เพราะการเขียนตามอารมณ์ความรู้สึกเพียงส่วนเดียว ย่อมส่งเสริมการตามใจตน มิใช่การบ่มเพาะจิตใจ  ผู้เรียนจำเป็นต้องฝึกเผชิญกับขอบอันท้าทายเมื่อต้องฝืนใจ  เราต่างมีแนวโน้มเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการยามปรารถนา และหลีกเลี่ยงหลบห่างยามเราไม่ต้องการ  การฝึกฝนการเขียนหรือศิลปะเป็นเช่นเดียวกับการฝึกฝนการปฏิบัติธรรม  ซึ่งน้อมนำเรากลับมาเผชิญกับความเคยชินของชีวิตและฝึกก้าวข้ามเพื่อความหลุดพ้นทีละเล็กละน้อย หายใจออก  เมื่อเราได้ศึกษาผู้ศึกษาศิลปะหรือกระทั่งคุรุศิลปาจารย์  การก่อเกิดงานรังสรรค์แต่ละชิ้นและการก้าวย่างในวิถีศิลปิน มิใช่การตามใจตน ตามแต่อารมณ์พา มิใช่ว่าวน้อยที่ปล่อยลอยตามแรงลม  หากแต่เป็นนกที่รู้ใช้และรู้ทันสายลมของท้องฟ้า ผ่านการฝึกมือฝึกซ้ำหนักหนา บางครั้งสร้างผลงานยามแสนปิติเบิกบาน  บางครั้งยามยากเข็ญสุดฝืนใจ  สำเร็จหนึ่งครา  ล้มเหลวนับร้อย … Continue reading อารมณ์ศิลปิน

จำเป็นไหมต้องทำใจ

  หายใจเข้า  เรารับรู้ความรู้สึกในหัวใจเราขณะนี้  หัวใจเรากำลังรู้สึกอย่างไร  ภายในกำลังเป็นเช่นไร หายใจออก  กลับมารับรู้ความคาดหวังที่เรามีต่อตัวเอง  เราอยากให้หัวใจดวงนี้เป็นเช่นใด  ไม่อยากให้เป็นแบบไหน วันหนึ่ง ขณะรับฟังมิตรผู้เกาะกุมความเศร้าจากความรักที่ไม่อาจเป็นจริง เธอรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นและควรทำอย่างไร แต่ไม่ต้องการให้หัวใจตนเองเศร้าเพียงนี้ ช่วงเวลาแห่งการเกาะกุมนานแสนนาน เธออยากทำใจได้เสียที ผมแยกตัวออกมา  มองด้วยสายตาผู้ให้คำปรึกษาอย่างรอบด้าน  ก่อนถามว่า “จำเป็นไหมต้องทำใจ” เงียบชั่วขณะ เธอตอบว่าก็ไม่จำเป็นนะ  ต้องอยู่กับเขาให้ได้ ค่อยดูแล  ไม่บีบคั้นไม่คาดหวัง เชื่อว่าจะผ่านไปได้ หายใจเข้า  เมื่อเราเห็นหัวใจเรากำลังเป็นทุกข์หรือร้อนรน เราพยายามทำเช่นใด  วิธีการไหนที่เราใช้เป็นประจำเมื่อหัวใจเราอยู่ภาวะที่เราไม่ต้องการ หายใจออก  วิธีการเหล่านั้นช่วยดูแลหัวใจเรา หรือหลีกหนีไปจากเขา อีกครั้งหนึ่ง ผมเพิ่งได้มีโอกาสทักทายครู ครูที่น่าชื่นชม เป็นผู้อุทิศตัวแก่การสอนและทนไม่ได้หากเห็นครูรุ่นใหม่ไม่เอาจริงเอาจังหรือขาดความรับผิดชอบ ครูรู้สึกทนที่ตัวเองหงุดหงิดและวุ่นวายใจไม่ได้ ผมถามถึงเหตุการณ์ที่เจอในช่วงสัปดาห์  เธอเล่าถึงความลำบากในการทำงานกับครูด้วยกัน ความวุ่นวายในโรงเรียน  ภาวะวัยทอง  สภาพจิตใจของตนเองที่ไม่ชอบใจ  ผมไม่ได้แนะนำสิ่งใดไปกว่าการสะท้อนความรู้สึกและภาวะที่เป็นด้วยถ้อยคำสั้นๆ อันชัดเจน  ให้ครูเห็นเหมือนอยู่ตรงหน้า มิได้ตำหนิว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่ควรมีหรือไม่ดีอย่างไร  แค่บอกว่ามันเป็นลักษณะอย่างไรและให้ครูพูดเสริมสิ่งที่ตนเองเห็น แนะนำสั้นๆ เพียงว่า การรับผิดชอบ กับ การแบกรับ แตกต่างกัน ต้องแยกแยะให้ถูก… Continue reading จำเป็นไหมต้องทำใจ

เป็นเพื่อน

  หายใจเข้า  ลมหายใจคือมิตรผู้หล่อเลี้ยง หายใจออก  ลมหายใจโบกมืออำลา  ย้อนกลับสู่ทางของกัน เนื้อหาแรกของการอบรมการเขียนเยียวยาและการเขียนพัฒนาชีวิต ของสถาบันธรรมวรรณศิลป์  คือการดำรงอยู่กับบันทึกและการเขียนฉันมิตร เมื่อเราดำรงอยู่ร่วมกันด้วยความรู้สึกเช่นนี้  เราย่อมก่อเกื้อความรู้สึกไว้วางใจ  สร้างพื้นที่ชีวิตด้วยตนเอง  แม้แรกพบยังมิผูกพัน  ใจยังไม่อาจต่อใจ  อาจรู้สึกยากและลำบากบางสิ่ง  มืออาจยังไม่พร้อมแทนใจ  บันทึกอาจยังไม่พร้อมเข้าใจ ไม่เป็นไร  ค่อยๆ เข้าหาเช่นมิตรใหม่  เฉกเช่นเราหายใจเป็นครั้งแรก  ต้อนรับทุกสิ่งเข้ามา  และระบายทุกสิ่งออกไป  วางการตัดสินวิจารณ์ไว้ข้างกาย  ดำรงอยู่กับมิตรอย่างที่เขาเป็น ให้ทุกการเขียนเป็นดั่งการหายใจครั้งแรก  ดูแลมิตรแท้เพื่อนเก่า  ประหนึ่งเราเพิ่งรู้จักกัน หายใจเข้า  เราทำความรู้จักมิตรคนนี้  หากเราเก้อเขินต่อบันทึก  ยิ้มให้กับตัวเราที่เก้อเขิน และความสัมพันธ์ใหม่ที่กำลังผุดผลิ หายใจออก  ในการสอนหรือการอบรม  ผมมักแนะนำให้ผู้เรียนลองทำความรู้จักการเขียนในมุมมองตนเอง  และมุมมองของเพื่อน  ลองเล่าให้เขาหรือเธอรับฟังเสมือนหนึ่งผู้ที่เราจะเล่าทุกสิ่งได้เสมอ  เขาผู้รับฟังเราอย่างลึกซึ้ง  เขาที่จะเป็นเพื่อนเราอย่างไร้เงื่อนไข แน่นอน  เราอาจมีเงื่อนไขต่อเพื่อนคนนี้อยู่บ้าง  เพราะมีเด็กน้อยที่กลัวเกรงอยู่ในใจเรา  มีความระแวงต่อความแปลกหน้าต่อกัน  สิ่งเหล่านี้ก็มีคุณ  ทำให้เราระวังต่อกัน  เพื่อนเก่ายาวนานย่อมง่ายผิดใจหรือเกี่ยวงอนได้เพราะคำพูดเล็กน้อย  หรือการกระทำอันน้อยนิด ขณะที่เราต้องการการยอมรับอย่างไพศาล  เสมือนลมหายใจที่ไร้ขอบเขต  ด้านหนึ่งในตัวเราก็จำกัดตัวเองไว้  ในเงื่อนไขนานาต่อความสัมพันธ์  เรามีสนามอากาศไม่รู้ขอบเขต  แต่เรากลับขีดเส้นให้ร่างกายหายใจได้นิดเดียว  หายใจเข้าดูสิ … Continue reading เป็นเพื่อน

สร้างพื้นที่ให้ชีวิต

  เมื่อเราหายใจเข้า  เราเติมเต็มพื้นที่ข้างในร่างกาย ด้วยอากาศจากภายนอก เมื่อเราหายใจออก  เราแปรเปลี่ยนพื้นที่ภายนอก รอบตัวเรา ด้วยอากาศจากพื้นที่ข้างในกาย พื้นที่ภายนอกและพื้นที่ภายใน ต่างส่งเสริมและเชื่อมโยงต่อกัน เราต่างเป็นผู้ร่วมสร้างทั้งสองพื้นที่ชีวิต คนเราใช้ชีวิตระหว่างพื้นที่มากมาย จากบ้านสู่ท้องถนน สู่ที่ทำงาน  ไปห้างสรรพสินค้า  สวนสาธารณะ  ศาสนสถาน  โรงพยาบาล  โรงเรียน  มหาวิทยาลัย  ฯลฯ  หายใจเข้าพื้นที่หนึ่ง  หายใจออกพื้นที่หนึ่ง  ชีวิตต้องสัญจรและเกี่ยวพันพื้นที่นานา ทว่าพื้นที่ใดเล่าที่เราเป็นผู้สร้างขึ้น  มีจำนวนมากหรือน้อยสำหรับพื้นที่ที่เรารู้สึกไว้วางใจและเป็นอิสระ แม้เรามีตัวเลือกพื้นที่ชีวิตอยู่ไม่น้อย  แต่เหตุใดเรากลับจึงไม่เป็นอิสระเอาเสียเลย  เราอาจมีแค่หนึ่งหรือไม่กี่พื้นที่ที่เรารู้สึกว่าตนเองเป็นผู้สร้างขึ้น  เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยมากพอที่เราจะรู้สึกสบายใจ อบอุ่น และไว้วางใจ แม้เรามีตัวเลือก เราอาจรู้สึกว่าไม่อาจเลือกได้เต็มที่  เพราะกลไกทางสังคม  เพราะความคาดหวังจากคนอื่นๆ เพราะพื้นที่เหล่านั้นสังคมหรือองค์กรหนึ่งๆ เป็นผู้สร้างขึ้น  เราไม่เห็นว่าตนเองเป็นผู้ร่วมทำให้เกิดขึ้น  เราอาจแอบหวังว่าวันหนึ่งเราจะก้าวไปสู่พื้นที่ที่ดีกว่านี้  พื้นที่ที่เราจะรู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองได้อย่างมีคุณค่าและได้รับการยอมรับ หายใจเข้า  เราเสียเวลากับการรอคอยโอกาสได้ไปยังพื้นที่ในฝันแห่งนั้นเพียงใด หายใจออก วันหนึ่งที่เราพร้อมหรือมีสิ่งวิเศษเกิดขึ้น หรือเมื่อยามหมดเวลาเลิกเรียนหรือเลิกงาน เราจะได้ไปสู่พื้นที่อันปลอดภัย นั่นเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นหรือไม่ เหตุใดเมื่อเราต้องการความเป็นอิสระ และพื้นที่อันไร้ขีดจำกัด  เรากลับกักขังตัวเองอยู่ในพื้นที่เล็กๆ บางแห่ง ขณะที่ลมหายใจยังคงสอนเราเรื่องการสร้างพื้นที่อันกว้างใหญ่ไม่เว้นวันหยุดพัก ทุกๆ พื้นที่ชีวิต… Continue reading สร้างพื้นที่ให้ชีวิต

ทักทายแขกเรือนใจ

  เปิดใจกาย ต้อนรับลมหายใจหล่อเลี้ยงชีวิต เขาคือแขกผู้มาเยือน  มอบของขวัญมีค่าคือการดำรงอยู่กับปัจจุบัน  หายใจออก  ส่งแขกออกจากบ้าน  ก่อนต้อนรับผู้มาใหม่  ร่วมเติมเต็มลมหายใจ หัวใจเรา มีแขกมาเยือนมากมายในแต่ละวัน และคืน พวกเขามาสู่ใจเราพร้อมความสุขบ้าง ความพอใจบ้าง  ความหงุดหงิดก็มี ความโศกเศร้าก็มี  งุนงง  เฉยชา  เหม่อมอง  หลากหลายแขก  พวกเขามาเยือนใจเราและทำให้บ้านเราเปลี่ยนไป แขกดีอาจช่วยเติมความสดชื่นเบิกบาน  แขกร้ายอาจนำเมฆดำมาสู่ ท้ายสุดแล้วเมื่อถึงเวลา  เราก็ต้องส่งพวกเขาออกจากธรณีประตูและรั้วเรือนใจ  ไม่มีแขกใดจะอยู่ในบ้านเราตลอดกาล หายใจเข้า  ในยามนี้แขกใดมาเยือนเรา  พวกเขานำสิ่งใดมาให้แก่หัวใจน้อยๆ นิดนี้ หายใจออก  ยามแขกจากลา  พวกเขาทิ้งร่องรอยใดบ้างแก่เรือนหัวใจ  สกปรกเลอะเทอะหรือไม่  หรือสะอาดเอี่ยมอ่องเสียจริง  เราผู้เป็นเจ้าของบ้านจะดูแลเรือนใจยามแขกแต่ละรายอำลาอย่างไร บางทีเราอาจเหนื่อยเสียหน่อยกับการเก็บกวาดเช็ดถู  บางแขกมาอย่างยิ้มเริงร่าพายินดี  แต่ทิ้งไว้ด้วยกองขยะและความยุ่งเหยิง  บางแขกมาดร้ายไม่น่าคบหา  แต่กลับพาบ้านสงบเงียบ  แขกบางรายแต่งตัวดี  นำอาหารไร้ประโยชน์มาฝาก  แขกอีกรายแต่งตัวซอมซ่อ  นำหนังสือบ่มปัญญามาฝากชั้นวาง ชีวิตแต่ละวัน และคืน เราต้องต้อนรับแขกคนแล้วคนเล่า  หลายครั้งคราเราเผลอลืมตัวไปว่า  พวกเขาเป็นเพียงแขก หาใช่เจ้าของบ้านไม่  บางครั้งเราโดนแขกมัวเมาจนเผลอไผลยกบ้านให้พวกเขาไป  รู้ตัวอีกทีเมื่อเรือนใจเงียบงันด้วยแขกร้างลา  ทิ้งความเปลี่ยวเหงาและบ้านสกปรกไว้ให้ ทุกลมหายใจเข้า … Continue reading ทักทายแขกเรือนใจ

ฉวยวันเวลาไว้

  ชีวิตมีคุณค่าเกินกว่าจะพร่าคืนวัน… หายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง  แม้นว่าสิ่งเล็กน้อยนี้เรายังไม่อาจกลับมาดูแล  ไฉนเลยเราจึงดูแลทั้งชีวิตของตนและคนอื่นได้ การกลับมาอยู่กับลมหายใจ คือการกลับมาเห็นคุณค่าของตนและปัจจุบัน ผมขอเล่าที่มาของอนุสารนี้ ในแง่ที่เกี่ยวข้องกับบทความ เป็นปฐมก้าวย่างของอนุสาร  ความคิดความฝันว่าจะเผยแพร่องค์ความรู้และประสบการณ์ “เขียนเปลี่ยนชีวิต” และ “ธรรมวรรณศิลป์” ผ่านสื่อต่อเนื่องอย่างนิตยสาร เกิดก่อในใจผมอยู่นานแล้ว คล้ายรอโอกาสที่เหมาะสม หรือยามเก็บเกี่ยวพืชผลคืนวันอย่างเต็มที่ เก็บข้อคิดข้อเขียนใส่ลิ้นชักความทรงจำไว้ นานวันเข้าฝุ่นจับ ปลวกการเผลอไผลแทะกิน ๓ ถึง ๔ เดือนที่ผ่านมา ความเจ็บป่วยของผู้ใหญ่ที่นับถือ จนถึงญาติและเพื่อนของคนรู้จัก เป็น “สัญญาณชีวิต” แก่ผมอีกครา เป็นหนึ่งในสัญญาณชีวิตรูปแบบเดิมที่ทักเตือนใครต่อใครครั้งแล้วครั้งเล่า ชีวิตไม่แน่นอน ทุกก้าวย่างต้องระมัดระวัง  ถามใจตนเองว่า  “ถ้าเกิดตายเข้าอีกไม่ช้า จะเสียดายอะไรมากที่สุด” หนึ่งในคำตอบเหล่านั้น คือ ไม่อาจเผยแพร่ความรู้และผลึกคิดที่มี ส่งมอบให้กับคนอื่นได้เต็มที่ กอดไว้ในโลงลำพัง  เพราะมัวแต่รอโอกาสจากสำนักพิมพ์ และรอเก็บไว้เพื่อการสอนในชุดอบรม เมื่อตระหนักรู้เช่นนี้แล้ว เราจะ “เลือก” หรือ “รอ” ผมเลือกสร้างฝันให้เป็นจริงขึ้น แทนที่จะรอโอกาสอันเหมาะสม อาจมิใช่ นิตยสารที่เผยแพร่บนชั้นวางหนังสือกว้างไกล  แต่อย่างน้อยและมากคุณค่านัก เพียงอนุสารเล่มน้อย ส่งมอบแก่ผู้คนบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต … Continue reading ฉวยวันเวลาไว้