7 บทเรียนต้นไม้สอนมนุษย์

7บทเรียนต้นไม้สอนมนุษย์

 

ต้นไม้เป็นครูที่ยิ่งใหญ่ของเรา แสดงธรรมและสอนบทเรียนต่อชีวิตอยู่เสมอแม้เราจะสังเกตหรือไม่ พระพุทธเจ้าท่านก็เรียนรู้จากต้นไม้ ตรัสรู้ใต้ร่มเงาของโพธิใหญ่ เราลองสังเกตชีวิตของพวกเขา เราอาจได้บทเรียน 7 ข้อนี้หรือมากกว่า

1 แก่นแท้ของชีวิตไม่อาจตัดสินได้แค่ ฤดูเดียว ช่วงเวลาหนึ่งต้นไม้อาจทิ้งใบโกร๋น อีกฤดูงอกใบสะพรั่ง ฤดูกาลต่อมาอาจมีดอกไม้แบ่งบานตา แล้ววันหนึ่งก็ผลิผลสุกปรั่งให้กิน ชีวิตมีฤดูกาล วันนี้เราอาจเห็นตนเองหรือคนอื่นเหมือนต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา วันหนึ่งเมื่อถึงฤดูกาลที่เหมาะสม อาจกลายเป็นต้นไม้ที่สวยเด่นสง่า

2 เปลือกนอกกับภายในแตกต่างกันได้ บางผลอย่าง มะเดื่อ “ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง” ผิวเปลือกงามข้างในแมลงแทะกิน หรือหลายผลไม้ที่ภายนอกเปลือกแข็งกระด้าง แต่ภายในอ่อนหวาน อย่างมังคุด ผลไม้จากต้นไม้สอนเราว่า สิ่งที่แสดงออกภายนอกอาจปกปิดภายในที่แตกต่างออกไปก็ได้ อย่าเชื่อแต่ภาพลักษณ์หรือสิ่งที่ตาเห็นหรือสัมผัสจับต้องได้เท่านั้น

3 ต้นไม้สอนเราให้ไม่ย่อท้อ และมานะขันแข็ง ถึงแม้บางฤดูกาลจะร้อนร้าย หรือสายฝนพายุกระหน่ำ ต้นไม้ก็เพียรพยายามปรับตัวให้อยู่รอด อดทนตรำตากแดดซึมซับปรับเปลี่ยนเป็นพลังหล่อเลี้ยงชีวิต แม้บ้างยืนต้นมิมีใครเห็นคุณค่า ก็ยังทำตามหน้าที่ของตนอยู่เสมอไป

4 ร่มเงาและผลไม้จากต้นไม้ มิได้หวงแหนเห็นแก่ตัว มิได้เลือกที่รัก มักที่ชัง ใครจะเด็ดหรือเก็บผลก็ยินดีต้อนรับ ต้นไม้เป็นแบบอย่างของใจเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อสิ่งที่ดีให้แก่ทุกๆ สรรพสัตว์  ตั้งแต่ดอกอันหอมกรุ่น ผลไม้เลี้ยงชีวิต จนถึงลำต้นตัวมันเอง กล่าวกันว่า แม้แต่นายพรานที่หมายมาตัดต้นไม้ ต้นไม้ต้นนั้นก็ยังเผื่อแผ่ร่มเงาให้เขา

5 แม้ไผ่สูงใหญ่ ก็ยังรอดพ้นจากลมพายุน้อยใหญ่ได้ เพราะรู้จักโค้งค้อมถ่อมตัว คนเราจะผ่านพ้นช่วงเวลาอันเลวร้ายหรือรู้รักษาตัวรอดได้ การยืดเหยียดให้ตนเองสูงส่งไม่ใช่ทางออกที่ฉลาด แต่การรู้จักอ่อนน้อมถ่อมต้น เช่นต้นไผ่ ทำให้เราไม่โค่นล้มถอนรากถอนโคนได้ง่าย เพราะรู้จักเอนไหวยอมโค้งกายไม่ยึดมั่นความสูงสง่า ลมกระโชกแรงใดใดก็ย่อมผ่านพ้นได้ด้วยดี

6 ต้นไม้หยัดยืนได้แข็งแรง ไม่ใช่ลำพังลำต้น แต่ด้วยรากที่หยั่งลึกและคงมั่น การมีรากสอนให้เรารู้จักรักษาแผ่นดินเกิด รากเหง้า วัฒนธรรม และการมีหลักยึดมั่นแก่ดวงจิตดวงใจ หากเราทำตัวเหมือนต้นไม้หยิ่งทนงไม่สนราก สำคัญตนว่ามีลำต้นแข็งแกร่งสูงใหญ่ แต่เมื่อไร้รากแล้ว ชีวิตก็เหมือนไร้พื้นเพ ถูกตัดขาดโดดเดี่ยว ไม่มีที่พึ่งยามชีวิตสิ้นแรงใจ ลำต้นแกร่งเพียงใดก็ย่อมผุพัง หรือหากเราทำตัวเหมือนต้นไม้ที่เอาแต่ชูยอดไขว่คว้าสิ่งภายนอกข้างบน มองหาแต่สิ่งสูงส่งเกินเอื้อม แต่ลืมสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ข้างใต้ เราก็เหมือนต้นไม้ประเภทที่ลำต้นอ่อนยวบยาบและได้แต่เลื้อยพันรอบต้นไม้ต้นอื่น

7 สอนเราเรื่องการปล่อยวาง เมื่อดอกใบแห้งเฉาหมดวาระก็รู้จักสลัดปล่อยวางลงสู่ดิน หากไม่แล้วก็จะไม่อาจงอกงามดอกใบใหม่ขึ้นมาได้เลย การปล่อยวางสิ่งเก่าเมื่อถึงเวลาล่วงลับก็เพื่อก่อเกิดสิ่งใหม่ขึ้น ฤดูกาลร้อนแล้งต้นไม้ต้องทิ้งใบลงกลาดเกลื่อนแทบหมดต้น เพื่อรักษาน้ำรักษาชีวิตของตนให้ผ่านพ้นช่วงเวลาโหดร้าย รู้ละทิ้งสิ่งไม่จำเป็นเพื่อให้ตัวเราเติบโตขึ้น ต้นไม้ก็มิได้อาลัยอาวรณ์ตนเองเมื่อถึงคราวสูญสิ้น แต่เมล็ดพันธุ์มากมายที่ตนเองได้หว่านโปรยไว้แล้วเมื่อยังมีชีวิตอยู่ จะยังคงงอกงามแทนตนเองอยู่เรื่อยไปนับจากนั้น

 

>>>>>>>>>

ครูโอเล่

สถาบันธรรมวรรณศิลป์

คอลัมน์ “ไกด์โลกจิต” https://www.dhammaliterary.org/?page_id=3493