5 ข้อคิด เปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนชีวิต (ตอนที่สอง)

 

ข้อคิด เปลี่ยนความเชื่อ-2

 

5 ข้อคิด เปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนชีวิต #ไม่ต้องเข้าคอร์สหรูก็รู้ได้

(ตอนที่สอง)
หนทางไม่เคยมืดมน ยกเว้นเราจะ “ปิดตา” ตนเสียเอง เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับเมล็ดพันธุ์หรือศักยภาพที่ไม่จำกัด ยกเว้นเราจะ “ปิดกั้น” ตนไว้ด้วยความเชื่อว่า …ฉันทำไม่ได้… หรือ …ฉันเป็นแค่…
.
เมื่อเรา “ปิดใจ” ต่อตัวเอง ปีกที่ซ่อนอยู่ในตัวเราก็ไร้โอกาสได้กางออก เราจึงรู้สึกว่าชีวิตไม่มีหนทางเลือกเอาเสียเลย ทั้งที่เราเป็นผู้เลือกหันหลังให้
.
เราอาจมีวันสับสน แต่ไม่มีวันอับจน ตราบใดใจไม่ “ปิดประตู” ทางออกไว้ด้วยการคิดและความเชื่อที่เฝ้าย้ำตอกตำชีวิตจนตรอก ทางออกอยู่ที่ใจเราเสมอ อำนาจวิเศษและการอบรมสะกดจิตใดใด เพียงชี้ทางหวนกลับมาที่ใจของเรา
.
อย่า “ปิดบัง” ตัวเองจากความจริง และสิ่งที่เราทำได้แม้ไม่สมบูรณ์แบบ ด้วยการตัดสินและการคาดคั้น ให้ชีวิตเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างให้เราหายใจและกางปีกของตนออกได้ อยู่อย่างไรจึงมีความหมายโดยไม่ต้องมีเงื่อนไข มิใช่ให้ชีวิตคือพื้นที่ “ปิดฉาก” ลมหายใจด้วยข้อผูกรัดที่เราคล้องหัวใจตนเอง
.
บทความนี้นำเสนอต่อเนื่องอีกสองข้อสุดท้ายจากตอนที่ผ่านมา เป็นข้อคิดเพื่อการเปลี่ยนความเชื่อและความคิด เพื่อเปลี่ยนชีวิตของเรา ผ่านส่วนหนึ่งของแก่นความรู้การสะกดจิตและพลังแห่งจิตใจ มิว่าคอร์สราคาแพงหรือการอบรมเพื่อการกุศลต่างมีหลักการร่วมอย่างเดียวกัน ผู้อ่านคนใดต้องการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเพิ่มเติมในหัวเรื่องเดียวกันนี้อย่างไรก็สามารถบอกเล่าได้ตามช่องทางที่เหมาะสม
.
.
4 สิ่งที่คิดเป็นประจำ จะเป็นกรงขังเราไว้เอง : ความคิดและพฤติกรรมที่นำมาสู่ความสุขหรือความทุกข์ ล้มเหลวหรือสำเร็จ ต่างทำงานซ้ำๆ เป็นร่องวงจร วนไปเวียนมา ย่ำและย้ำเป็นความเคยชิน จนเราเองก็หลงลืมไปว่า เราไม่จำเป็นต้องคิดแบบนั้นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นก็ได้ เรามีวิธีคิดและทางเลือกมากมายในทุกสถานการณ์ แต่เราเลือกขังตัวเราไว้ด้วยวิธีคิดแบบเดิมๆ
.
เราอาจเคยสงสัยว่าเหตุใด เราจึงผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก เจอเหตุการณ์หรือคนแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า บางความเห็นกล่าวว่าเป็น “กฎของกระจก” เราเจอสิ่งใดก็สะท้อนว่าสิ่งนั้นอยู่ในตัวเราหรือจิตเรามาก่อนแล้ว เราดึงดูดสิ่งต่างๆ เข้าหาตัวเอง แต่ที่จริงแล้ว เราก็ไม่ใช่หลุมดำหรือดาวเคราะห์ที่ดึงดูดทุกสิ่งโดยมีตัวตนเป็นศูนย์กลาง แต่เป็นหัวใจเราเองวนเวียน ย้ำคิด ย้ำทำ เลือกวิธีคิดแบบเดิม เลือกวิธีใช้ชีวิตแบบเดิม ปัญหาแบบเดิมก็ย่อมตามมา
.
ความรู้สึก นึก และคิด ก่อให้เกิดการกระทำทั้งภายในใจและในชีวิตของเรา เมื่อความรู้สึก นึก และคิด วนเวียนอยู่ในแบบเดิมๆ เราก็ย่อมขังตัวเองเอาไว้ในวงจรชีวิตแบบนั้น
.
สิ่งที่เป็นปัญหา มักไม่ใช่ตัวปัญหา แต่เป็นวิธีคิดที่ไม่เหมาะสม ไม่ตอบโจทย์ และสร้างปัญหาขึ้นมา และยิ่งเราพยายามหาทางออกให้ชีวิต ด้วยวิธีคิดแบบเดิม คิดย้ำในทางเก่าๆ ก็มีแต่ยิ่งวนเวียนอยู่ในทางที่เราหลงทาง
.
เมื่อเรารู้ว่าเราหลงทางแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือเลือกหาหนทางใหม่ การคิดและการใช้ชีวิตก็เช่นกัน เราไม่เคยมีหนทางเดียว เมื่อการคิดแบบนั้นกับการใช้ชีวิตแบบนั้น มันไม่สามารถทำให้ตัวเราเองและคนรอบตัวดีขึ้นได้ ไม่มีความสุขอย่างแท้จริง เหตุใดเราจึงมัวแต่พยายามเดินไปในทางเดิม ทั้งที่เบื้องหน้าคือทางตัน
.
ความคิดกับความเชื่อ เป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่งของความสุขและความสำเร็จของชีวิต เราจะไขจากปัญหาและสิ่งที่ขวางกั้น เราต้องเลือกกุญแจให้ถูกประตู
.
สมองกับจิตใจ มีความสามารถที่จะคิดอย่างไม่จำกัด แต่คนเราทั่วไปมักใช้ไม่ถึง ครึ่ง สมองกับจิตเราทุกคนมีพรสวรรค์ของการริเริ่ม สามารถเชื่อมโยงและปรุงแต่งต่างๆ ได้มากมาย แต่เมื่อเราปล่อยให้วงจรของความคิดทำงานในร่องเดิมๆ แล้ว สมองก็ไม่มีโอกาสได้เชื่อมสายใยความคิดใหม่ ความสามารถของการริเริ่มก็ฝ่อลงไม่ได้ใช้งาน ชีวิตจึงติดลูป
.
เรามีความสามารถที่จะคิดแบบภาพก็ได้ จินตนาการ ใช้ดนตรี การเคลื่อนไหว เขียนบันทึก และอื่นๆ อีกมากมาย ไม่จำเป็นต้องคิดเป็นเสียงในใจอย่างเดียว
.
ความคิดที่เป็นปัญหามักนำมาซึ่งปัญหาเสียเอง เราก็ต้องเปลี่ยนที่ความคิดของตนเองก่อน ด้วยการเปลี่ยนมุมมอง หากิจกรรมช่วยคิด ฝึกนึกเป็นภาพใช้จินตนาการ ทำสมาธิ ฟังความเห็นผู้อื่น และเปลี่ยนเสียงพูดในใจ คิดไปในทางที่เป็นประโยชน์
.
การตั้งคำถามใหม่ต่อปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดที่สำคัญ บ่อยครั้งที่เราขังตัวเองไว้ด้วยคำถามที่ปิดกั้น ตอกย้ำ ด้านลบ และไม่ตรงโจทย์ เราควรถามตัวเอง หรือหาคำตอบให้แก่ปัญหา ด้วยคำถามที่เปิดกว้าง สร้างสรรค์ มองโอกาส และเข้าใจสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง
.
ทุกสิ่งที่เราคิดในใจ เป็นทางเลือกจากจิตตนเองทั้งสิ้น นักสะกดจิตเป็นเพียงผู้โน้มน้าวการคิดในใจเหล่านั้น แต่เราสามารถทำให้ตนเองได้ เพราะเราคิดอยู่แล้วแทบตลอดเวลา ทุกความคิด ความรู้สึก และการระลึกถึง หัวใจเราเป็นผู้เลือกเองเสมอ
.
เมื่อใดที่เรามีสติ รู้ทันความคิดตน เมื่อนั้นเรากำลังมีโอกาส เป็นนักสะกดจิตให้ตัวเอง สั่งการความคิดให้เป็นไปในทางช่วยเหลือ เปิดโอกาส ให้กำลังใจ มองเห็นประโยชน์ และหาทางออกใหม่ๆ
.
ทุกสถานการณ์มีทางเลือกมากมาย หากเราไม่จมอยู่ในความรู้สึกและการคิดแบบเก่า เพียงแค่เราตั้งสติ หาตัวช่วยคิด มองมุมต่างๆ ไม่ปักใจเชื่อง่าย ไม่หลงเสียงตอกย้ำจากอดีต เมื่อนั้นเราก็จะเห็นทางเลือกมากมายที่เราสามารถทำได้
.
หากเราหลับตาเสียแล้ว เราจะเห็นทางได้อย่างไร เมื่อปิดกั้นตัวเองไว้ด้วยความคิดตอกย้ำ เราก็หมดทางเลือก เมื่อใดที่ทางตัน มุ่งหน้าไปทางเดิมเช่นนั้น ชีวิตก็หมดหนทาง
.
การฝึกคิดเป็นภาพ หรือจินตนาการในใจอย่างผ่อนคลายและมีพลัง เป็นเครื่องมือช่วยคิดที่ทรงอานุภาพ เพราะกระตุ้นการทำงานของสมองทั้งสองซีก เปิดโอกาสให้หยุดการคิดเป็น “คำๆ” แบบเดิมในหัว จินตนาการ มองภาพกว้าง ภาพรวม หรือใช้ความรู้สึกมากขึ้น
.
ลึกๆ แล้วคำตอบที่เราหวัง ล้วนอยู่ในจิตตนเองเสมอ เมื่อเราหาวิธีคิดที่เหมาะสมได้ เราย่อมเข้าถึงขุมทรัพย์นี้ในตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องเข้าคอร์สการอบรมราคาแพงแต่อย่างใด
.
เมื่อใดก็ตามที่เราหลงทาง มิว่าความคิดหรือการใช้ชีวิต แทนที่จะบ่นพร่ำหรือตอกย้ำตัวเองกับกำแพงนั้น เราแค่หันไปดูรอบๆ มองในมุมที่เราไม่เคยเห็น แล้วเลือกทางใหม่ อย่าปล่อยให้การคิดเป็นกรงขังหัวใจ
.
.
5 เรามีคุณค่าไม่จำกัดด้วยเงื่อนไข : คุณค่าชีวิตไม่ได้ผูกมัดไว้กับสิ่งใดหรือคนใดเป็นพิเศษ แม้แต่ความสามารถที่เรามีก็เป็นเพียงคุณค่าอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด
.
เมื่อเรานำสิ่งของชิ้นหนึ่งไปให้ต่างคน ต่างพื้นเพ ต่างความรู้ ช่วยกันตรวจสอบราคาและคุณค่า เราย่อมได้คำตอบแตกต่างหลากหลายกันไป แล้วยิ่งนำไปให้บุคคลที่ไม่เคยรู้หรือมีข้อมูลใดใดเกี่ยวกับสิ่งของประเภทนี้มาก่อน คำตอบอาจเป็นไม่มีค่าหรือราคาใดเลย
.
แต่มิว่าคนเหล่านั้นจะตัดสินราคาไว้อย่างไร คุณค่าแท้จริงของสิ่งนั้นก็ไม่เคยหม่นหมองตาม มุมมองเราอาจบิดเบี้ยวได้ แต่โลกไม่ได้เบี้ยวหรือเอนตาม
.
หากใจเรานำผูกรัดกับคุณค่าอย่างไรอย่างหนึ่งมากเกินแล้ว ชีวิตเราย่อมถูกผูกรั้งกับสิ่งนั้นจนเราเองก็เป็นทุกข์กับมัน ให้ค่ากับการทำงานมากเกินไป งานที่เคยสนุกก็สุดทรมานและน่าท้อถอย ให้ค่าชีวิตกับการเป็นที่รักจากคนอื่นมากแล้ว ชีวิตก็ถูกรั้งไว้ด้วยความคาดหวังจากใครๆ มากมาย
.
คนๆ เดียวไม่อาจแบกคุณค่าชีวิตเราไว้ได้ทั้งหมด เราจะพลอยสูญเสียแม้แต่ตัวเองไปด้วย เมื่อมอบทั้งหมดของชีวิตไว้กับสิ่งๆ เดียว
.
เราต่างมีคุณค่าชีวิต ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ แม้ความสามารถที่ตนมีก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน วันหนึ่งก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงและเสื่อมถอย คนที่เรารักก็มีหนทางของชีวิตและลิขิตกรรมต้องดำเนินไปด้วยตนเอง เกิดมาลำพัง ตายจากก็ลำพัง เราไม่อาจฝากคุณค่าไว้ที่ใคร
.
เราไม่ได้ดีพอเฉพาะยามที่เราสวยหรือประสบความสำเร็จ เราดีพอแม้ในวันที่น่าเกลียดและล้มเหลว วันที่เราขาดเงินทองและเป็นหนี้สิน หรือใครๆ ทอดทิ้งจากเราไป ไม่เคยมีตราใดประทับหัวใจว่าไร้ค่าเท่ากับความคิดที่เราย้ำแก่ตน
.
เราไม่ได้ไม่ดีพอ เมื่อสิ่งร้ายๆ เกิดขึ้น หรือเมื่อวาจาจากใครอื่นทิ่มแทงหัวใจเรา คุณค่าชีวิตไม่เคยสั่นคลอนเพราะสิ่งใดใดในโลกที่ไม่เคยแน่นอนอยู่แล้ว ดวงตะวันไม่เคยหมองเศร้าเพราะเมฆดำหนาทึบ หรือคนบ่นไม่พอใจ
.
ชีวิตทุกชีวิตดีพอ เพราะต่างมีคุณค่าในตนเอง มิใช่ต้องดีด้วยเงื่อนไขปัจจัยใด เราอ่านหนังสือเล่มหนึ่งไม่เข้าใจ ก็มิได้หมายความว่าหนังสือเล่มนั้นไม่มีคุณค่าอยู่เลย เรามองไม่เห็นคุณค่าในตัวเองก็ไม่ได้แปลว่าไม่มี เราแค่ต้องใช้เวลาอ่านให้ดี
.
อย่าจมกับมุมมองใด อย่าจมกับคุณค่าความหมายของชีวิตแค่หนึ่งอย่าง ความเชื่อหรือมุมมองเพียงด้านเดียวไม่เคยพอ โลกกว้างกว่านั้น สิ่งที่เราเป็นก็เช่นกัน
.
วันเวลาชีวิตเราอาจกำลังพลอยสูญเปล่าไปกับการพยายามสร้างเงื่อนไขต่างๆ มากมาย เพื่อให้เรารู้สึกดีพอ มีคุณค่าเพียงพอ แต่จนแล้วจนเล่าเราก็ยังรู้สึกห่างไกลไปจากตัวเองมากเท่านั้น ติดอยู่กำแพงที่เราก่อขึ้นเอง
.
เรากำลังทำให้ชีวิตมีความหมาย หรือแลกชีวิตตัวเองไปกับสิ่งเหล่านั้น
.
คุณค่าที่เรายึดติดอาจเป็นกับดักที่เราวางไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อหวังให้ตนมีที่ยึดเหนี่ยวและกำลังใจผ่านบางช่วงมืดหมองในอดีตที่ผ่านมา แต่คำตอบในอดีตไม่ได้เป็นคำตอบที่จะใช้ได้ตลอดไป กุญแจที่ไขประตูบานเก่า ไม่ได้นำมาใช้กับประตูบานใหม่ การยึดติดที่บางมุมมองและคุณค่าเป็นเหตุแห่งความทุกข์และปิดกั้นตัวเอง
.
เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่ยากด้วยการเห็นคุณค่าตัวเองหลากหลายด้านไม่เกาะกุมแค่หนึ่งเดียว ทบทวนตัวเองไม่หลงตามค่านิยมและการสะกดจิตจากสิ่งนอกตัวทั้งหลาย เลือกคุณค่าอย่างสมดุลและเหมาะสมตามช่วงเวลา
.
กลับมาหานักสะกดจิตในตัวเรา คือความเชื่อ ความรู้สึก นึก และคิด ซึ่งปรุงแต่งและชักใยชีวิตเราเนิ่นนาน กำกับดูแลให้เกิดค่า มิต้องรอใครอื่นบันดาลใจ แต่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ตัวเอง
.
.
อนุรักษ์ ครูโอเล่
#คอลัมน์ #ไกด์โลกจิต
.
( ตอนแรก ) www.dhammaliterary.org/5ข้อคิดเปลี่ยนความเชื่อ/
( ติดตามการอบรม #เขียนเปลี่ยนชีวิต #พลังแห่งจิต #เด็กน้อยภายใน ) www.dhammaliterary.org