“ใครทำร้ายสนามเด็กเล่นของเรา” คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๑

 

 

“ใครทำร้ายสนามเด็กเล่นของเรา”

คอลัมน์ บันทึกเล็กเล็ก #๑  โดย เล็ก

 

 

ตั้งแต่เด็กจนโต เราได้รับการปลูกฝังว่าให้ตั้งใจเรียน จะได้มีเกรดที่ดี จบมามีงานทำ มีเงินเดือน เป็นเจ้าคนนายคน มีบ้าน มีรถ จะได้ดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่า

ทุกครั้งที่พบกับญาติๆ ในต่างจังหวัด เรามักจะได้ยินคำสั่งสอนเหล่านี้จนติดหูมาบ้าง ไม่มากก็น้อย มีการถามไถ่เรื่องชีวิตการเรียน หากโตหน่อยก็ไถ่ถามเรื่องการงาน เรื่อยไปจนถึงการเงิน

ค่านิยมเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากไหนกันหนอ?

หากจะย้อนกลับไปมองดู น่าจะเริ่มช่วงที่มนุษย์ชาติเริ่มมีไฟฟ้าให้ใช้งาน แต่เรื่องนั้นยกไว้ก่อนดีกว่า

คำถามจากเด็กน้อยภายในคือ ‘ทำไมคนเราถึงมีแนวโน้มว่าจะทำร้ายธรรมชาติกันนะ?’

เราจำได้ เมื่อตอนเด็กๆ ตอนได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่ดูน่ารักสวยงาม เราก็มักจะชอบเล่นมันอยู่เรื่อยๆ เล่นทั้งวันไม่มีเบื่อ แต่พอมีเพื่อนมาขอยืมไปเล่นบ้าง พอได้ของเล่นกลับคืนมา ความรู้สึกของเราก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เหมือนกับว่าของเล่นชิ้นนั้นไม่ใช่ของเราอีกแล้ว

เพียงเพราะว่าเพื่อนยืมไปเล่นแค่ครู่เดียว เราจึงรู้สึกเหมือนถูกทรยศ ของเล่นของเรากลับกลายเป็นของคนอื่นเสียได้ แม้ลึกๆ เราก็รู้ดีว่าการที่ให้เพื่อนยืมเล่นได้คือการแบ่งปัน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี ลดความเห็นแก่ตัวในตัวเอง ฝึกให้ความสุขกับคนรอบข้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีทีเดียวที่เด็กน้อยคนหนึ่งจะสามารถทำได้ มองย้อนกลับไปก็แอบภูมิใจตัวเองน้อยๆ อยู่นะ

พอเริ่มรู้เดียงสามากขึ้น ได้พบกับของเล่นมากหน้าหลายตาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต สั้นบ้างนานบ้าง จากของเล่นก็เริ่มมีเพื่อนเล่น เพื่อนวัยเด็กที่ไม่มีการคิดถึงผลประโยชน์ใดนอกเหนือไปจากการเล่นสนุก แค่นั้นเอง ทั้งของเล่นและเพื่อนเล่นหลายๆ คน ยังอยู่ในความทรงจำของเรา มากบ้างน้อยบ้าง

การเรียนรู้ในโรงเรียนช่วยเปิดโลกทัศน์ของเด็กน้อยคนหนึ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มเรียนว่าความรู้ในวัยเด็กเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งขององค์ความรู้อันกว้างใหญ่ไพศาล ยิ่งใหญ่เทียบได้ดั่งจักรวาลเลยทีเดียว

จำได้ว่าครูเคยสอนว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มีพัฒนาการมาจากลิงไม่มีหาง หรืออะไรเทือกๆ นั้น เด็กน้อยภายในก็งงเป็นไก่ตาแตกเลยสิ ‘คนเราเป็นญาติกับลิงด้วยหรอ?’ เพราะมีลิงจึงวิวัฒนาการมาเป็นโฮโมเซเปียนส์หรือมนุษย์เราได้ แล้วลิงเล่ามาจากไหนล่ะ? ลิงก็มีการวิวัฒน์จากสิ่งมีชีวิตก่อนหน้านั้นไง ก็ตั้งแต่แบคทีเรีย ปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เรื่อยมาจนก่อกำเนิดลิงไม่มีหางและพัฒนาสมองส่วนหน้าจนกลายมาเป็นมนุษย์ในที่สุด

เราเรียนชีววิทยาก็นำมาเชื่อมโยงกับตัวเองไปด้วยเลย ประกอบกับการเป็นนักตั้งคำถามจึงสงสัยว่า ‘ถ้าเราเป็นญาติกับลิงจริงๆ ก็ต้องเป็นญาติกับสัตว์ชนิดอื่นๆ ด้วยสิ ทั้งไก่หมาหมูแมวที่เราเลี้ยงไว้ ก็เป็นญาติกันหมดเลยใช่ไหม?’

เด็กน้อยที่เคยคิดว่าครอบครัวและญาติพี่น้องคือโลกทั้งใบของเขา เมื่อได้ตระหนักว่าสัตว์ชนิดต่างๆ ก็มีความเกี่ยวของกับเขาไม่น้อยไปกว่าผู้คนรอบกาย นิยามของโลกและครอบครัวจึงเปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่ง ‘โลกทั้งใบต่างหาก เป็นครอบครัวและญาติของเขา’

ไม่เพียงแค่สัตว์โลกน่ารักหรอกนะ แม้กระทั้งต้นไม้ใบหน้าก็เป็นครอบครัวของเขา ถ้าหากไม่มีพืชไม้นานาพรรณแล้วพวกเราจะแลกเปลี่ยนอากาศหายใจกันได้อย่างไรล่ะ สัตว์หายใจเข้านำออกซิเจนเลี้ยงบำรุงร่างกาย หายใจออกมาเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ พืชหายใจเข้านำคาร์บอนไดออกไซด์บำรุงชีพ หายใจออกคืนออกซิเจนให้สัตว์ใช้งานต่อไป ทั้งพืชและสัตว์จึงขาดกันไม่ได้ เหมือนกับที่พระอาทิตย์ขาดพระจันทร์ไม่ได้

เด็กน้อยนอนเล่นกลางสนามดินโคลนที่ชื้นแฉะเพราะฝนเพิ่งตกไปหมาดๆ พลางคิดคำนึงว่า เมื่อก่อนเราเล่นของเล่นชิ้นใหม่ก็รู้สึกอกหักเมื่อมีเพื่อนมาขอไปเล่นบ้าง แต่วันนี้เราเพิ่งได้เรียนรู้ว่าเราแค่อาศัยอยู่ในโลกมหัศจจรย์ใบนี้ก็เป็นของขวัญล้ำค่าที่ประมาณไม่ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องน้อยใจในเรื่องที่อดเล่นของเล่นชิ้นนั้นเลย โลกใบใหญ่ใบนี้เป็นบ้านของเรา เป็นครอบครัวของเราที่สามารถไปเล่นผจญภัยและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ไม่มีที่สิ้นสุด ธรรมชาติไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลยนะ เพราะเราเองก็มาจากธรรมชาติ เป็นลิง เป็นนก เป็นเต่าปลา ทุกสรรพสัตว์เป็นเพื่อนของเราทั้งนั้น เขาไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน

สนามเด็กเล่นของเราก็คือโลกทั้งใบเลยนะ ใครจะกล้าทำร้ายสนามเด็กเล่นของเด็กน้อยๆ ได้ลงคอ

จริงไหม?

ทุกครั้งที่พบกับญาติๆ ในต่างจังหวัด เรามักจะได้ยินคำสั่งสอนเหล่านี้จนติดหูมาบ้าง ไม่มากก็น้อย มีการถามไถ่เรื่องชีวิตการเรียน หากโตหน่อยก็ไถ่ถามเรื่องการงาน เรื่อยไปจนถึงการเงิน

ค่านิยมเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากไหนกันหนอ?

หากจะย้อนกลับไปมองดู น่าจะเริ่มช่วงที่มนุษย์ชาติเริ่มมีไฟฟ้าให้ใช้งาน แต่เรื่องนั้นยกไว้ก่อนดีกว่า

คำถามจากเด็กน้อยภายในคือ ‘ทำไมคนเราถึงมีแนวโน้มว่าจะทำร้ายธรรมชาติกันนะ?’

เราจำได้ เมื่อตอนเด็กๆ ตอนได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่ดูน่ารักสวยงาม เราก็มักจะชอบเล่นมันอยู่เรื่อยๆ เล่นทั้งวันไม่มีเบื่อ แต่พอมีเพื่อนมาขอยืมไปเล่นบ้าง พอได้ของเล่นกลับคืนมา ความรู้สึกของเราก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เหมือนกับว่าของเล่นชิ้นนั้นไม่ใช่ของเราอีกแล้ว

เพียงเพราะว่าเพื่อนยืมไปเล่นแค่ครู่เดียว เราจึงรู้สึกเหมือนถูกทรยศ ของเล่นของเรากลับกลายเป็นของคนอื่นเสียได้ แม้ลึกๆ เราก็รู้ดีว่าการที่ให้เพื่อนยืมเล่นได้คือการแบ่งปัน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี ลดความเห็นแก่ตัวในตัวเอง ฝึกให้ความสุขกับคนรอบข้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีทีเดียวที่เด็กน้อยคนหนึ่งจะสามารถทำได้ มองย้อนกลับไปก็แอบภูมิใจตัวเองน้อยๆ อยู่นะ

พอเริ่มรู้เดียงสามากขึ้น ได้พบกับของเล่นมากหน้าหลายตาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต สั้นบ้างนานบ้าง จากของเล่นก็เริ่มมีเพื่อนเล่น เพื่อนวัยเด็กที่ไม่มีการคิดถึงผลประโยชน์ใดนอกเหนือไปจากการเล่นสนุก แค่นั้นเอง ทั้งของเล่นและเพื่อนเล่นหลายๆ คน ยังอยู่ในความทรงจำของเรา มากบ้างน้อยบ้าง

การเรียนรู้ในโรงเรียนช่วยเปิดโลกทัศน์ของเด็กน้อยคนหนึ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มเรียนว่าความรู้ในวัยเด็กเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งขององค์ความรู้อันกว้างใหญ่ไพศาล ยิ่งใหญ่เทียบได้ดั่งจักรวาลเลยทีเดียว

จำได้ว่าครูเคยสอนว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มีพัฒนาการมาจากลิงไม่มีหาง หรืออะไรเทือกๆ นั้น เด็กน้อยภายในก็งงเป็นไก่ตาแตกเลยสิ ‘คนเราเป็นญาติกับลิงด้วยหรอ?’ เพราะมีลิงจึงวิวัฒนาการมาเป็นโฮโมเซเปียนส์หรือมนุษย์เราได้ แล้วลิงเล่ามาจากไหนล่ะ? ลิงก็มีการวิวัฒน์จากสิ่งมีชีวิตก่อนหน้านั้นไง ก็ตั้งแต่แบคทีเรีย ปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เรื่อยมาจนก่อกำเนิดลิงไม่มีหางและพัฒนาสมองส่วนหน้าจนกลายมาเป็นมนุษย์ในที่สุด

เราเรียนชีววิทยาก็นำมาเชื่อมโยงกับตัวเองไปด้วยเลย ประกอบกับการเป็นนักตั้งคำถามจึงสงสัยว่า ‘ถ้าเราเป็นญาติกับลิงจริงๆ ก็ต้องเป็นญาติกับสัตว์ชนิดอื่นๆ ด้วยสิ ทั้งไก่หมาหมูแมวที่เราเลี้ยงไว้ ก็เป็นญาติกันหมดเลยใช่ไหม?’

เด็กน้อยที่เคยคิดว่าครอบครัวและญาติพี่น้องคือโลกทั้งใบของเขา เมื่อได้ตระหนักว่าสัตว์ชนิดต่างๆ ก็มีความเกี่ยวของกับเขาไม่น้อยไปกว่าผู้คนรอบกาย นิยามของโลกและครอบครัวจึงเปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่ง ‘โลกทั้งใบต่างหาก เป็นครอบครัวและญาติของเขา’

ไม่เพียงแค่สัตว์โลกน่ารักหรอกนะ แม้กระทั้งต้นไม้ใบหน้าก็เป็นครอบครัวของเขา ถ้าหากไม่มีพืชไม้นานาพรรณแล้วพวกเราจะแลกเปลี่ยนอากาศหายใจกันได้อย่างไรล่ะ สัตว์หายใจเข้านำออกซิเจนเลี้ยงบำรุงร่างกาย หายใจออกมาเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ พืชหายใจเข้านำคาร์บอนไดออกไซด์บำรุงชีพ หายใจออกคืนออกซิเจนให้สัตว์ใช้งานต่อไป ทั้งพืชและสัตว์จึงขาดกันไม่ได้ เหมือนกับที่พระอาทิตย์ขาดพระจันทร์ไม่ได้

เด็กน้อยนอนเล่นกลางสนามดินโคลนที่ชื้นแฉะเพราะฝนเพิ่งตกไปหมาดๆ พลางคิดคำนึงว่า เมื่อก่อนเราเล่นของเล่นชิ้นใหม่ก็รู้สึกอกหักเมื่อมีเพื่อนมาขอไปเล่นบ้าง แต่วันนี้เราเพิ่งได้เรียนรู้ว่าเราแค่อาศัยอยู่ในโลกมหัศจจรย์ใบนี้ก็เป็นของขวัญล้ำค่าที่ประมาณไม่ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องน้อยใจในเรื่องที่อดเล่นของเล่นชิ้นนั้นเลย โลกใบใหญ่ใบนี้เป็นบ้านของเรา เป็นครอบครัวของเราที่สามารถไปเล่นผจญภัยและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ไม่มีที่สิ้นสุด ธรรมชาติไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลยนะ เพราะเราเองก็มาจากธรรมชาติ เป็นลิง เป็นนก เป็นเต่าปลา ทุกสรรพสัตว์เป็นเพื่อนของเราทั้งนั้น เขาไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน

สนามเด็กเล่นของเราก็คือโลกทั้งใบเลยนะ ใครจะกล้าทำร้ายสนามเด็กเล่นของเด็กน้อยๆ ได้ลงคอ

จริงไหม?