เสียงจากใจตะลิงปลิง – สิรินันท์ นิลวรางกูร (กุ๊กไก่)

ชื่อเรื่อง เสียงจากใจตะลิงปลิง

สิรินันท์ นิลวรางกูร (กุ๊กไก่) งานเขียนต่อยอดจากบันทึกอบรม เขียน=มหัศจรรย์ชีวิต

 
“เรื่องแค่นี้ทำไมต้องตะคอกใส่กันด้วย ฉันพยายามทำดีกับเธอทุกอย่าง ยอมเธอทุกอย่าง ไม่เคยอารมณ์เสียใส่ แล้วทำไมต้องตะคอกใส่กันด้วย” เสียงแห่งความน้อยใจและเสียใจตะโกนก้องอยู่ในหัวหลังจากที่โดนน้องตะคอกใส่เรื่องทิ้งกะทิที่เหลือจากกล้วยเชื่อม แต่ก็ได้แต่ส่งเสียงตะโกนอยู่ข้างใน ไม่กล้าที่จะตะโกนออกมาหรือตะคอกกลับ พยายามทำสีหน้าให้ปกติ ทั้งๆ ที่กำลังจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว รีบวางของและแอบเข้าไปร้องไห้คนเดียวในห้อง เหมือนเช่นทุกครั้งที่โดนน้องหรือแม่ดุหรือทำอารมณ์เสียใส่โดยที่เราไม่สามารถแสดงอารมณ์ได้ มิฉะนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที

นั่งร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียวรู้สึกเจ็บอยู่ในใจว่าทำไมเราตอบโต้ไม่ได้ ทำไมต้องทำกับเราแบบนี้ ทำไมเขาแสดงอารมณ์ใส่เราได้ แต่ทำไมเราแสดงอารมณ์ใส่เขาไม่ได้ ทำไมฉันต้องเป็นฝ่ายห่วงเขา ทำอะไรต่อมิอะไรให้เขา ในขณะที่เขาไม่ได้คิดถึงความต้องการของฉันเลย ฉันอยากจะออกไปจากที่นี่ ไม่อยากอยู่ ฉันอยากจะไปอยู่ในที่ที่ฉันสามารถทำตามใจฉันเองได้บ้าง ฉันต้องการอิสรภาพ

หลังจากนั่งร้องไห้อยู่สักพักใหญ่จนความอัดอั้นข้างในบรรเทาไปบ้างแล้ว เจ้าหลานชายตัวเล็กมาร้องเรียกหน้าห้อง “ดูสิ ห่วงมาผูกคอแล้ว” แล้วก็เดินออกไปหาหลาน ไอ้ตัวเล็กชวนเดินออกไปที่สนามหน้าบ้าน ให้เรานั่งมองเขาเล่น เขาหยิบกิ่งไม้มากิ่งหนึ่ง สมมุติว่าเป็นดาบ ไล่ฟันต้นไม้พร้อมส่งเสียงฉับๆๆ เควี้ยวๆๆ ไปตามเรื่อง แล้วก็มาที่ต้นตะลิงปลิง เอาดาบฟันต้นตะลิงปลิงด้วยความเมามัน ฟันลูกตะลิงปลิงลงมาแล้วก็ฟันๆๆๆๆ ลูกตะลิงปลิง มองดูหลานเล่นแล้วก็คิดในใจว่า “ต้นตะลิงปลิงจะเจ็บไหมนะ”
เมื่อมีโอกาสจีงเดินไปหาต้นตะลิงปลิง เอามือลูบลำต้นเขาเบาๆ พร้อมกับถามเขาในใจอย่างอ่อนโยนว่า “เจ็บไหม” มีเสียงกระซิบแบบเศร้าๆ ตอบมาจากในใจว่า “เจ็บ” พร้อมกับความรู้สึกเจ็บที่แล่นแปล็บมาที่หัวใจ เราตอบกลับไปในใจว่าว่า “อืม เราก็เหมือนกัน” แล้วน้ำตาก็ร่วงเผาะไหลลงมาเป็นทาง มือที่จับอยู่ที่ต้นตะลิงปลิงที่สัมผัสได้ถึงความเย็นของลำต้น ในความเย็นของเปลือกไม้นั้นเหมือนมีพลังงานบางอย่างที่เชื่อมใจเราเข้ากับต้นตะลิงปลิง เชื่อมกันด้วยความเจ็บปวดในใจ ความรู้สึกที่เชื่อมถึงกันเป็นความรู้สึกที่โหยหามานานถึงเพื่อนคนที่สามารถเข้าใจกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด เป็นความรู้สึกที่เข้าใจซึ่งกันและกัน เราถามต้นตะลิงปลิงว่า “โดนฟันอย่างนั้นน่ะโกรธไหม ยอมให้เขาทำทำไม ทำไมไม่ตอบโต้บ้าง” ต้นตะลิงปลิงตอบกลับมาว่า “ก็โกรธเหมือนกันนะที่โดนแกล้ง แล้วไอ้ตัวเล็กก็ชอบมาแกล้งอยู่บ่อยๆ ด้วย แต่จะตอบโต้ไปทำไมเพราะตอบโต้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เจ็บเดี๋ยวเดียวก็หาย แต่ถ้าตอบโต้หรือบอกเขาว่าเราเจ็บ เราเองจะเจ็บยิ่งกว่าโดนตี” ถามเขาว่า “แล้วจะยอมเจ็บอยู่อย่างนี้หรือ” เขาตอบว่า เราเป็นต้นไม้ เราหนีไปไหนไม่ได้หรอก” เราถามว่า “แล้วเราล่ะ เราหนีได้ แล้วเราจะทำอย่างไงดี” ต้นตะลิงปลิงตอบกลับมาว่า “เธอหนีไปไหนไม่ได้หรอก เพราะใจของเธออยู่ที่นี่ เธอไปไหนๆ ได้ สุดท้ายเธอก็ต้องกลับมาหาใจของเธออยู่ดี”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกสิ้นอิสรภาพในทันทีพร้อมกับความรู้สึกเหมือนมีห่วงมารัดที่คอจนรู้สึกจุกในอก ตอบกลับไปด้วยความหดหู่ว่า “ก็เพราะใจนี่แหละ ทำให้เราต้องเป็นห่วงเขาไปไหนไม่ได้ ทำอะไรตามใจไม่ได้ เพราะใจของเรามันถูกผูกเอาไว้” ต้นตะลิงปลิงตอบกลับมาว่า “ใครผูกใจเธอเอาไว้ ไม่มีใครผูกเธอไว้เลย เธอนั่นแหละผูกมันกับมือของเธอเอง เธอบอกว่าเธอต้องดูแลหลาน เธอเป็นห่วงคนโน้นคนนี้ ไม่มีเธอเขาก็อยู่กันได้นะ ดีเสียอีก ไม่มีเธอ แม่ของหลานเขาจะได้ลงมาดูอาหารการกินของลูกบ้าง เธออยู่เธอก็ทำแทนเขาหมด เขาก็ไม่ต้องทำ แล้วเธอก็มาบ่นว่าเขาไม่ดู ก็เธอดูแล้วนี่ เขาจะดูทำไม ถ้าเธอบอกว่าเธอห่วงพ่อแม่ห่วงยายห่วงน้อง พวกเขาก้ไม่ได้ผูกเธอไว้นี เห็นเธอไปไหนต่อไหนพวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเธอ เขาก็ปล่อยให้เธอไป เธอผูกของเธอเองนะ”

“จริงสินะ” ความเจ็บปวดหรือการที่เราผูกใจเราไว้กับสุขทุกข์คนอื่น เราเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง ในเมื่อใจของเราอยู่ที่นี่และในขณะเดียวกันเราต้องการความอิสระของจิตใจในบางครั้ง เราคงต้องหาสมดุลของตัวเราเองที่จะทำให้เรามีความสุขมากกว่านี้ และเราคงต้องดูแลจิตใจของเราเอง ไม่ให้หวั่นไหวไปกับคำพูดหรือท่าทางต่างๆ ของคนรอบข้าง เราต้องฝึกจิตไม้ให้ปรุงแต่งอารมณ์ขึ้นมา พลันก็นึกถึงคำพูดของท่านติชนัทฮันได้ว่า The way out is in ทางออกของทุกอย่างก็อยู่ในใจของเรานี่เอง

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงเอามือตบเบาๆ ที่ต้นตะลิงปลิง บอกเขาว่า “ขอบคุณนะ ตะลิงปลิง เธอยืนอยู่ตรงนี้มานานแสนนาน เราเดินผ่านเธอทุกวัน แต่ไม่คยแม้แต่จะเหลียวมอง วันนี้เธอได้เตือนสติฉันหลายอย่างเลยทีเดียว” จากนั้นมา ทุกครั้งที่เดินผ่านต้นตะลิงปลิงเราจะต้องยิ้มนิดๆ พร้อมกับเอามือลูบต้นเขาเบาๆ และทุกครั้งความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจมันดูอบอุ่นเหมือนกับได้ทักทายเพื่อนที่รู้ใจ ไอ้ตัวเล็กเอาไม้มาฟันต้นตะลิงปลิงเราบอกไอ้ตัวเล็กว่า “อยาฟันแรงนะและขอโทษตะลิงปลิงด้วยที่ทำให้เขาเจ็บ” และก่อนที่เจ้าหลานชายคนโตจะปีนขึ้นไปเก็บลูกตะลิงปลิง เราบอกหลานว่า “ปีนขึ้นไปบนต้นเขาเจ็บนะลูก ต้องขอโทษเขาก่อนปีนขึ้นนะครับ” เจ้าหลานชายก็ทำตามแต่โดยดี และเมื่อเก็บลูกตะลิงปลิงจนพอใจแล้ว เราก็บอกหลานว่า “ขอบคุณเขาด้วยนะลูก เขาอุตส่าห์ออกลูกมาเต็มต้นให้หลานได้เก็บเอาไปกินนะ”

ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นกับต้นไม้ในบ้านต้นหนึ่ง ต้นไม้ที่ลำต้นโค้งนิดๆ ใบเล็กๆ สีเขียวอ่อนพลิ้วไปตามแรงลมที่พัดมา เขาช่างดูอ่อนน้อมและเบาสบายอะไรเช่นนี้ เมื่อหลับตาลงจะเห็นเขายิ้มน้อยๆ อย่างพอใจในตัวเอง เหมือนกับเขารู้ว่าใจของเขาอยู่ที่ไหนและใจเขามีอิสระเสรีอย่างเต็มที่เท่าที่ต้นไม้ต้นหนึ่งจะทำได้