อารมณ์ศิลปิน

 

หายใจเข้า  เรามีผู้สร้างสรรค์อยู่ในร่างกายและหัวใจเรา

หายใจออก  สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น  สิ่งเก่าล่วงดับลงนับหลายครั้ง เพียงหนึ่งลมหายใจ

เมื่อมองยังเพื่อนหรือใครอื่นผู้มีวี่แววทางศิลปิน เรามักติดภาพลักษณ์ทางใจเห็นพวกเขามักเป็นคนมีความรู้สึกอันพิเศษ  เป็นตัวของตัวเอง  มีหัวใจโบยบินตามความรู้สึกและลงมือทำตามที่รู้สึกนั้น  เรายังอาจมิทันศึกษาความเป็นศิลปินอย่างเข้าใจถ่องแท้ จึงพลาดโอกาสน้อมนำความเป็นผู้สร้างสรรค์ในตัวเรามาใช้อย่างรู้ค่ารู้คุณ

ศิลปินมิใช่ผู้วิเศษ เราต่างมีความเป็นศิลปิน เพราะหัวใจเราต่างมีความรู้สึกอันพิเศษ พลังที่อยู่เหนือความอยากได้ ใคร่มีใคร่เป็น แต่ความพิเศษนั้นจะมีประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อถูกฝึกฝนและขัดเกลา เยี่ยงการสกัดเพชรหินล้ำค่าจากหินกระด้าง

เฉกเช่นการลับคมลมหายใจ เมื่อเรากลับมาอยู่กับลมหายใจอย่างเต็มที่เท่านั้น เราจึงรู้พลังที่หล่อเลี้ยงชีพชีวาละเอียดลออ และหายใจอย่างมีคุณค่าได้ที่สุด

หายใจเข้า  เราไม่จำเป็นต้องทำงานศิลปะหรือเขียนงานวรรณกรรม แต่เราสามารถน้อมนำทิศวิถีการเรียนรู้เยี่ยงศิลปินบ่มเพาะชีวิตเราและผู้อื่นได้  เพราะลำพังความรู้มิอาจเติมเต็มชีวิตได้ครบถ้วน เพียงเหตุผลมิอาจทำให้เราเข้าใจตัวเองและใครต่อใครได้ จะใช้ชีพชอบอย่างเกื้อกูลตนเองกับสังคมต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์

การเรียนรู้ผ่านหลักสูตรเขียนเปลี่ยนชีวิต ผมแนะนำให้ผู้เรียนไม่รออารมณ์พา ไม่ลงมือทำเพราะมีอารมณ์ชักนำ  แต่ให้สร้างความรู้สึกที่มุ่งหมายปรารถนาพัฒนาตนเองและลงมือทำ  เพราะการเขียนตามอารมณ์ความรู้สึกเพียงส่วนเดียว ย่อมส่งเสริมการตามใจตน มิใช่การบ่มเพาะจิตใจ  ผู้เรียนจำเป็นต้องฝึกเผชิญกับขอบอันท้าทายเมื่อต้องฝืนใจ  เราต่างมีแนวโน้มเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการยามปรารถนา และหลีกเลี่ยงหลบห่างยามเราไม่ต้องการ  การฝึกฝนการเขียนหรือศิลปะเป็นเช่นเดียวกับการฝึกฝนการปฏิบัติธรรม  ซึ่งน้อมนำเรากลับมาเผชิญกับความเคยชินของชีวิตและฝึกก้าวข้ามเพื่อความหลุดพ้นทีละเล็กละน้อย

หายใจออก  เมื่อเราได้ศึกษาผู้ศึกษาศิลปะหรือกระทั่งคุรุศิลปาจารย์  การก่อเกิดงานรังสรรค์แต่ละชิ้นและการก้าวย่างในวิถีศิลปิน มิใช่การตามใจตน ตามแต่อารมณ์พา มิใช่ว่าวน้อยที่ปล่อยลอยตามแรงลม  หากแต่เป็นนกที่รู้ใช้และรู้ทันสายลมของท้องฟ้า

ผ่านการฝึกมือฝึกซ้ำหนักหนา บางครั้งสร้างผลงานยามแสนปิติเบิกบาน  บางครั้งยามยากเข็ญสุดฝืนใจ  สำเร็จหนึ่งครา  ล้มเหลวนับร้อย  วาดวงกลมวงแล้ววงเล่าจนกลมดิก ทนกับสีน้ำมันที่กัดกร่อนร่างกายค่อนคืนค่อนวัน  ตากลมฝนฟ้าความเศร้าโศก เพื่อหมายโอบอุ้มภาพเขียนบนกระดาษหัวใจอันเปราะบางไปสู่ฝั่งฝัน

นักศึกษาภาควิชาศิลปะมักต้องพบเจอประสบการณ์เช่นนี้ คนอื่นภายนอกอาจเห็นด้านที่พวกเขาเป็นคนไร้ระเบียบนอกคอกนอกแบบแผน แต่มิทันเห็นในห้องทำงาน ผู้เจริญรอยทฤษฏี ทักษะ  และทัศนะจากคุรุศิลปาจารย์ เคี่ยวเข็ญกว่างานแต่ละชิ้นลุล่วงใกล้ความสมบูรณ์ที่ปรารถนา

เก็บร่องรอยรายละเอียดครั้งแล้วครั้งเล่า ราวมิอาจเอื้อมคว้าความสมบูรณ์ในแววตาได้เสียที

หายใจเข้า  เรากำลังเรียนรู้จากศิลปินใหญ่น้อย  เพื่อย้อนกลับมองตนเองอีกครา  เรากำลังมองอารมณ์ศิลปินในอีกแง่มุมหนึ่ง จากทิศวิถีการฝึกฝนตนเองของพวกเขามิใช่การรับรู้ของเรา  ย่อมง่ายดายที่เราจำตัดสินพิพากษาใครคนหนึ่งจากการกระทำบางอย่างที่เราเห็นจนคุ้นชิน ย่อมง่ายที่เราจะเชื่อว่าสิ่งที่เราเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นความจริง

ศิลปินต้องมองสิ่งที่คนอื่นเลือกไม่มอง มองสิ่งเดิมสิ่งเดียวกับสิ่งที่ตนเองเคยวาดหรือเคยสัมผัสในมิติใหม่หรือละเอียดยิ่งกว่า คนธรรมดามองเห็นภาพเขียนหนึ่งมีเส้นแห่งสีปาดป้ายไม่เป็นรูปทรงชัดราวภาพวาดเด็ก  แต่ผู้มีดวงตาศิลปะย่อมมองเห็นมิติซับซ้อนและการเคลื่อนไหวของเส้นแห่งสีเหล่านั้น ย่อมรู้ว่านี่คือเป็นความเด็กในความเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง  ผมเองได้เรียนรู้สิ่งนี้จากการหลับนอนที่บ้านพักและช่วยขัดสีชอล์คของอาจารย์เทพศิริ สุขโสภา  ทำให้ผมมองภาพเขียนด้วยดวงตาที่แปลกไป  อีกท่านหนึ่งอาจารย์ล้วน เขจรศาสตร์ผู้ล่วงลับแล้ว ได้เคยแนะนำวิธีการมองภาพบางภาพให้ ยามท่านพอมีสติหลังคลายพิษสุรา

ครูภาวนาและครูศิลปะทางโลกแนะนำสอดคล้องกันว่า เราไม่ต้องรออารมณ์เพื่อทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตตนและผู้อื่น เศร้าก็ต้องภาวนา เหงาก็ต้องปฏิบัติธรรม  โดนคนทิ้งก็ต้องออกกำลังกายใจ ดูแลตนเอง  แม้ทำไปไม่เกิดปิติหรือไม่ก้าวหน้าก็ต้องลงมือทำ  ทำสิ่งที่ต้องทำ  ไม่มีอารมณ์เขียนก็ต้องฝึกเขียนทั้งที่ไม่มีอารมณ์  เลือกเป็นผู้สร้างมิใช่ผู้เสพ คือวิถีของศิลปินผู้สร้างสรรค์

หายใจออก  เมื่อเราปล่อยให้ตัวเองหายใจตามเคยชิน ลมหายใจย่อมถูกชักนำไปตามห้วงภาวะแต่ละขณะจิต มิได้กำกับทิศทางชีวิตอย่างที่ควร เมื่อเราปล่อยให้ใจไหวตามแรงลมอารมณ์แล้ว เราย่อมละเลยอารมณ์ศิลปินภายในกายใจนี้

หายใจเข้าอีกครา อารมณ์ศิลปิน มิใช่การปล่อยปละตัวเองทำตามใจอารมณ์  ศิลปินคือผู้สร้างสรรค์  อารมณ์ศิลปินคืออารมณ์แห่งผู้สร้าง  คือพลังในการสร้างสรรค์อารมณ์ความรู้สึก รวมทั้งสิ่งต่างๆ อีกด้วย  เรียกในทางพุทธคือศักยภาพของการปรุงแต่งของจิต  เมื่อฝึกฝนย่อมสามารถกำกับการสร้างสรรค์ของจิตใจนี้ให้ไปในทางที่ควรได้ แทนที่จะปล่อยไปตามความเคยชิน หรือร่องอารมณ์

หายใจออก  อารมณ์ทั้งมวลเราเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้นมา เหตุใดจึงเฝ้ารอวันเวลาและปัจจัยอันมิอาจควบคุมมาลิขิตหัวใจและชะตากรรมของเรา

การเรียนรู้ในวิถีศิลปะคือการฝึกรู้ทันอารมณ์ เพื่อรู้ใช้อย่างไม่ยึดติดและไม่เป็นทาส เพื่อนำพลังสร้างสรรค์ที่มีอยู่แล้วในจิตนี้นำมาก่อประโยชน์และคุณค่า  เปิดดวงตาตนเพื่อมองสิ่งที่เห็นแต่ไม่เห็น เพื่อเข้าใจสิ่งที่รับรู้แต่ไม่เข้าใจ  ก่อน “แจกของส่องตะเกียง” สู่โลก

สำหรับผู้ฝึกฝนเขียนบันทึกเพื่อบ่มเพาะตนเอง ครั้งนี้ผมขอแนะนำเรากลับมาอยู่กับตัวเราก่อน  หลับตาลง เฝ้าดูลมหายใจหรือร่างกายตนเองด้วยจิตครู่หนึ่ง ก่อนระลึก ช่วงเวลาที่เรารู้สึกมีพลังที่ดีในตนเอง สดชื่นหรือมีชีวิตชีวาหรือสามารถทำสิ่งใหม่ๆ ด้วยตนเองได้  รับรู้ความรู้สึกในขณะนั้น น้อมนำกลับมาในปัจจุบัน สัมผัสพลังในร่างกายและในหัวใจเรา นึกเห็นภาพการกระทำของตนเองอย่างแจ่มชัดในใจ

ถามพลังและตัวเราภายในว่า พลังเหล่านี้เราจะนำมาใช้ในชีวิตได้อย่างไร พลังเหล่านี้อยากพาเราลงมือทำอะไรเพื่อตนเองและคนอื่นๆ ขอให้พลังนี้ลงมาที่มือของเราแล้วพาเราเขียนบันทึกเพื่อบ่มพลังและนำมาใช้อย่างสร้างสรรค์

 

12039670_954457991286235_7228330480628181302_n

 

ภาพประกอบจากการอบรมหลักสูตร เขียนเปลี่ยนชีวิต

คอลัมน์ ลมหายใจจับปากกา #6