รวมบทเรียน “เขียนข้ามขอบ” เขียนเปลี่ยนชีวิต รุ่นที่ 48

 

 

“รู้สึกดีใจที่ได้รู้จักสถาบันฯและได้เรียนคอร์สนี้ เห็นถึงความตั้งใจ การวางแผนกิจกรรมการเรียน ที่ละเอียดเป็นประโยชน์มาก ทุกกิจกรรมล้วนส่งเสริมให้เรารู้จัก ยอมรับ และเห็นคุณค่าตนเอง อีกทั้งสร้างแรงผลักดันผ่านเทคนิคต่างๆ ที่ประยุกต์รวมหลายศาสตร์ไว้ด้วยกัน ประกอบกับคำแนะอย่างตรงไปตรงมาของครู ก็ช่วยชี้ทางสว่างและเป็นแรงขับเคลื่อนให้ได้อย่างมาก ส่วนตัวรู้สึกเห็นประโยชน์และสนุกขณะทำกิจกรรมมาก จนเกิดฉันทะทำให้มีวินัยส่งการบ้านอยู่เรื่อยๆ เมื่อได้ฝึกฝนและทำกิจกรรมตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา (ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม) ทำให้กระบวนการคิดเราเริ่มซึมซับ ปรับเปลี่ยน เปิดกว้าง เห็นว่าขอบหรืออุปสรรคไม่ใช่สิ่งน่ากลัว เป็นเหมือนของขวัญที่ท้าทายให้เราดึงความสามารถและคุณค่าของเราออกมาเพื่อแกะของขวัญนั้นให้ได้

.

“ได้เรียนรู้การข้ามขอบที่ชื่อดูเหมือนยาก ตอนแรกเข้าใจว่าต้องกระโดดไปให้ไกล ไปให้สุดแรงนั้น แต่พอได้เรียนก็เข้าใจว่าความจริงไม่ใช่แค่แบบนั้น การข้ามขอบมีหลายวิธี ตั้งแต่ยกขาก้าวข้ามช้าๆเหมือนเดินปกติก็ได้ กระโดดเหยาะๆก็ได้ หรือแม้กระทั่งเปิดพื้นที่ที่มีขอบนั้นให้ขยายออกไปก็ได้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการที่ยกตัวอย่างเบื้องต้น สิ่งที่สำคัญคือการรู้จักขอบ จุดหวั่นไหว ช่วงเวลานาทีทองที่จะจัดการอารมณ์ ความรู้สึก การกระทำเดิมนั้นๆ ให้เปลี่ยนแปลงไปหาผลลัพธ์ที่ดีขึ้น นั่นคือการข้ามขอบ

.

“ก่อนเรียนก็คิดว่าเราไม่มีอะไรที่เป็นขอบหรือที่ต้องก้าวข้ามมากนัก เพราะชีวิตไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย ใช้ชีวิตตามปกติทั่วไป กินอิ่มนอนหลับดี ทีนี้พอได้มาเรียนทำให้เราได้ใส่ใจ มองเข้าหาตัวเอง รู้จักตัวเองอย่างละเอียดขึ้น ก็ทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาเราประมาททางความคิดมาก (ส่งผลต่อพฤติกรรม) เราไม่รู้ว่าไม่รู้อะไรคือขอบหรือต้นตอปัญหาของตนเอง ทำให้ละเลย มองข้าม หลีกหนีปัญหา หรือแก้ปัญหาและใช้ชีวิตแบบไม่ถูกเท่าที่ควร ดังนั้นคอร์สนี้ให้ข้อคิดและบทเรียนเราว่าไม่ควรประมาทในการรับรู้ ไม่ควรยึดถือความคิด ตัวตน และอื่นๆ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นขอบขวางกั้นการพัฒนาไปสู่ทางที่ดีกว่า

.

“ชอบหัวข้อ 1. หัวข้อ 24 ชม. เปลี่ยนชีวิต ช่วยในการวางแผนชีวิต แต่ละช่วงเวลา รู้สึกว่านำมาปรับใช้ได้ในทันทีเลย แต่หัวข้อนี้ก็ต้องยกความดีให้ หัวข้อ เริ่มต้นเล็กๆ ด้วย ที่ส่งเสริมให้หัวข้อนี้เป็นสิ่งไม่ยาก ค่อยๆปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ใส่ใจในแต่ละนาที-ชั่วโมงให้มากขึ้น ทำแต่ละนาที-ชั่วโมงให้ดีขึ้น ก็กลายเป็น 24 ชม.ที่เราต้องการและมีความสุขได้

2.หากฉันตัวเล็กกว่านี้ ตอนแรกก็เขียนไม่ออกเลย แต่พอเขียนไปเรื่อยๆ มันรู้สึกสบาย ทางกายใจ รู้สึกเราตัวเล็ก อยู่ไหนก็ได้ บีบคั้นจากตรงไหน ก็ไปที่อื่นได้ ลดละการยึดถือต่างๆได้ดีมาก และเห็นประโยชน์สุขจากชีวิตที่สมถะมากขึ้น

3.ดั่งเพศตรงข้าม ชอบเวลาคุยกับมือซ้าย มือซ้ายเป็นเพื่อนที่ให้คำปรึกษาที่ดี เป็นการบาลานซ์เราที่คุ้นเคยและเราที่ซ่อนอยู่ได้อย่างดี”

.

???? คุณกนกรัตน์ (Ink) พนักงานบริษัทเอกชน

 

“ชอบมากค่ะ มันเป็นโอกาสได้ทบทวนบางอย่างในตัวตนเรา รู้สถานการณ์ตัวเองว่ากำลังเพ่งเรื่องอะไร สุขจากอะไร ทุกข์จากอะไร และได้รับคำแนะนำว่าสิ่งนี้ดีแล้ว สิ่งนั้นให้ค้นหาต่อจนพบ เป็นหลักสูตรที่ดีมาก ๆ ค่ะ

ได้มุมมองการหลุดจากสิ่งที่เรายึด สิ่งที่เราคิด ได้ปล่อยวาง ได้รู้จักตัวเองจริง ๆ ในบางมุม ที่เราคิดว่าไม่ใช่ แต่จริง ๆ มันใช่ค่ะ ได้รู้ว่าตัวเองลืม หรือขาดหายอะไรไป และชอบอะไร เช่นชอบการมีเพื่อน การสนุกสนาน ทำให้กลับไปหาเพื่อนเพิ่มขึ้น โทรไปคุยกับเพื่อน ถามสุขทุกข์เพื่อน ได้เยียวยาจิตใจตนเองด้วยค่ะ

.

“ได้ข้ามพ้นบางสิ่งที่เราเคยติดอยู่ โดยฝึกมุมมองบางอย่างตามที่ครูแนะนำ หรือบางทีสิ่งนั้นคือข้ามขอบแล้ว แต่เราไม่รู้ เมื่อครูบอกจึงทำให้มั่นใจมากขึ้น ว่ามาถูกทาง และจดจำไว้ว่าแบบนี้คือการข้ามขอบ หลังจากบันทึกหลาย ๆ หัวข้อ เมื่อมาอ่านทบทวนในสมุด ได้ข้อคิดบางอย่าง ได้เห็นรูปแบบชีวิต สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เรารู้สึกว่าเผชิญ ได้เห็นปัญหาบางปัญหาในมุมที่เราถอยออกมา เพราะมันคือบันทึกที่ผ่านมาแล้ว ได้มานั่งอ่านใหม่ และตกผลึกได้ว่าสิ่งที่ควรปล่อย หรือสิ่งใดที่ดีแล้วควรรักษาไว้ สิ่งใดที่ต้องสังเกตต่อไปค่ะ ขอบคุณนะคะครู ^^”

.

???? คุณวีรมลล์ (เอ) พนักงานบริษัทเอกชน

 

“กุญแจทุก ๆ ดอกที่ได้ เป็นเหมือนกุญแจที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง เป็นเหมือนกุญแจที่ไขเปิดกล่องความคิดใหม่ๆ ไขให้เห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเอง ไขให้เห็นสาเหตุของปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ ไขให้เห็นแนวทางในการจัดการปัญหาที่ชัดเจนขึ้น ไขให้เห็นแรงบันดาลใจภายในตัวเอง ท้ายที่สุดกุญแจที่เราปล่อยให้ปลิวไป คือ การลงมือทำซ้ำในกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อหมั่นทบทวนใจ ทบทวนความคิดของตัวเอง ลงมือทำในสิ่งที่เขียนไว้ในกิจกรรม เช่น ฝึกสติ มองมุมบวก ฝึกฝนธรรมะ มองความล้มเหลวเป็นการเรียนรู้ รักและมีเมตตากับตนเองและผู้อื่น รักคนที่เรารักและปรารถนาดีอย่างไร้เงื่อนไข / กุญแจอีกส่วนหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในห้องนี้ คือ กุญแจกลายเป็นกระจกบานใหญ่ ที่สะท้อนตัวเรา การใช้ชีวิตของตัวเรา กิจกรรมต่าง ๆ ที่ตัวเราทำ ในทุก ๆ วัน ที่จะสามารถสะท้อนให้เห็นชัดขึ้น ๆ เรื่อย ๆ

.

“ได้ทบทวนตัวเองจากการเขียนในหลาย ๆ มิติ ผ่านการเขียนหลาย ๆ แบบ ทำให้ได้สำรวจตัวเองอย่างมาก บางอย่างที่เขียนออกมาแล้วสรุปเหมือน ๆ กัน จากหลาย ๆ กิจกรรม เช่น เรื่อง ความโกรธ ความรักแบบไร้เงื่อนไข ความกล้าที่จะล้มเหลว ก็แสดงให้เห็นว่า “เรากำลังเผชิญขอบเหล่านั้นอย่างชัดเจน” และที่สำคัญคือ ทุกครั้งเมื่อเขียนถึงปัญหา ก็มักจะมีความคลี่คลายได้เสมอ เห็นแนวทางต่าง ๆ ที่จะทำให้เราเผชิญกับขอบนั้น หรือ ก้าวข้ามขอบนั้นได้

.

“เรียนรู้ว่าขอบเกิดขึ้นจากตัวเรา และการก้าวข้ามขอบได้ก็เกิดขึ้นจากตัวเราเองเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วขอบที่เกิดขึ้นมาจากความรู้สึก การตีความหมาย การตีความของตัวเรา เป็นสิ่งที่เราไม่กล้าเผชิญหน้า หลีกเลี่ยงมาโดยตลอด ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้ว ตัวเองก็มีคุณค่า มีศักยภาพ มีความสามารถ มีความคิด ที่จะก้าวข้ามขอบได้ ผ่านการเปลี่ยนมุมมอง เห็นคุณค่าของตนเองให้มาก นำคุณค่า ศักยภาพของตัวเอง ที่เราละเลยไป มองข้ามไป สามารถนำมาใช้จัดการกับขอบเหล่านี้ รู้สึกว่าการก้าวข้ามขอบในขั้นแรกคือ ความเชื่อมั่นว่าสามารถทำได้ ส่วนแนวทางก็เห็นชัดเจนขึ้น และสร้างความมั่นใจว่าเป็นแนวทางที่นำพาตัวเองให้ก้าวข้ามขอบไปได้ ที่เหลือคือ การลงมือทำ เรียนรู้ ลงมือทำอย่างจริงจัง ไปเรื่อย ๆ ซึ่งทุกครั้งที่ลงมือทำ ฝึกฝน เช่น การฝึกสติ การปฏิบัติธรรม การสร้างความเมตตาขึ้นในใจ แม้ว่าจะก้าวข้ามขอบไม่ได้ในทันที แต่ก็ทำให้ขอบนั้นเล็กลงเรื่อยๆ กำแพงเล็กลงเรื่อย ๆ ขณะที่ตัวเองมีการพัฒนาตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ”

.

???? คุณชวัลณัฐ (ยอด) ที่ปรึกษาอิสระ

 


 

???? อ่านบทเรียนเพิ่มเติม

https://drive.google.com/file/d/1ip8w3lct5w4LorVRsON3LCT86lzYyPsB/view?usp=sharing

.

???? ติดตามการอบรม

www.dhammaliterary.org/คอร์สการอบรม/