7 คุณค่าชีวิตดั่ง “ดวงตะวัน” (ตอนที่สอง)

 

คุณค่าชีวิตดั่งดวงตะวัน๒

 

7 คุณค่าชีวิตดั่ง “ดวงตะวัน” (ตอนที่สอง)

 

เราจะเป็นคนที่เปี่ยมด้วย “คุณค่าชีวิต” ตน หรือผู้ที่เป็น “คุณฆ่าชีวิต” ตัวเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าได้ครอบครองสิ่งที่เราและคนอื่น “เห็นค่า” มากเพียงใด ในทางกลับกันยิ่งเราถือครองเป็นเจ้าของและเป็นตัวตน ยิ่งสูงยิ่งมากเข้าก็ยิ่งทุกข์เท่านั้น เพราะนั่นทำให้เรา “เป็นข้า” หรือทาสแก่สิ่งเหล่านั้น รวมทั้งแก่กิเลส ซึ่งเปรียบเสมือนรูรั่วของหัวใจ ต่อให้เราประสบความสำเร็จและวิ่งไล่ตามทันดวงดาวของสังคม เราก็ไม่สุขอย่างแท้จริง ยิ่งโหยหายิ่งรู้สึกขาดแคลน แม้จะมีชื่อเสียงในสังคมเพียงใดก็ตาม
.
การมีคุณค่าในชีวิต เป็นคนละเรื่องกับความสำเร็จ และไม่เกี่ยวข้องกับการมีลาภ ยศ และสรรเสริญ ไม่ว่าทางสังคมหรือทางจิตใจ เหล่านั้นเป็นความพอใจชั่วคราวเท่านั้น คนรวยและผู้มีความสำเร็จสูงส่ง น้อยนักที่มีความสุขและความสงบอย่างแท้จริงในชีวิต แต่มักกลบเกลื่อนความรู้สึกขาดพร่องในตนเอง ด้วยทำสิ่งต่างๆ ที่พาให้คนอื่นอยากคล้อยตาม ซึ่งก็กำลังตามหาสิ่งที่เป็นคุณค่าแท้ของชีวิตด้วยเช่นกัน
.
เราจะรู้สึกถึงคุณค่าในตนเองอย่างจริงจัง เราต้องกลับมารู้จักตนเองเท่านั้น มิใช่ไขว่คว้าอำนาจวิเศษจากสิ่งอื่นหรือบุคคลอื่นแต่อย่างไร ดั่งการจะเห็นคุณค่าในหนังสือเล่มหนึ่ง เราต้องพลิกอ่านบทแล้วบทเล่า ต้องมองตนให้รอบด้านและหยั่งลึกกว่าผิวเผิน เราจึงจะเข้าใจตัวเองจนนำมาสู่การรักตนอย่างเต็มเปี่ยม ชนิดที่เงินเท่าใดก็ไม่อาจซื้อหาได้
.
บทความนี้ เป็นตอนสุดท้ายของหัวเรื่อง คุณค่าชีวิตดั่ง “ดวงตะวัน” โดยเป็น 4 ข้อท้ายสุดต่อจากตอนแรก ซึ่งสามารถเปิดอ่านได้จากลิงค์ที่แนบท้าย อีกทั้งผู้อ่านท่านใดมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ ก็สามารถบอกเล่าหรือต่อยอดได้ตามช่องทางที่สะดวก
.
.
4 แสงเทียนเป็นพันๆ มิเท่าตะวันดวงเดียว : คุณค่าชีวิตไม่ได้เกิดจากการมีมากเสมอไป แม้เทียนจะมีจำนวนมากเท่าใดก็ไม่อาจให้แสงเทียบได้กับตะวันเพียงหนึ่งดวง สิ่งที่จริงแท้แค่หนึ่งน้อยก็มีค่ากว่าสิ่งปลอมมหาศาล
.
เราไม่จำเป็นต้องมีสิ่งใดใดมากเท่าใครเขา หากเราใช้ชีวิตด้วยการเฝ้าเปรียบเทียบ และ ใฝ่หาให้ “มากมี” ดั่งใครอื่น เราก็จะยิ่งรู้สึก “มีไม่พอ” แม้จะไขว่คว้าตามกระแสนิยมมากเท่าใดก็ตาม ยิ่งเราโฟกัสเติมเต็มคุณค่าชีวิตจากความ “มั่งมี” มากแล้ว จิตใจเราจะยิ่งรู้สึก “ไม่มี” มากเท่านั้น
.
การเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น อาจทำให้เรามีแรง “ผลักดัน” และแรง “จูงใจ” เพื่อพัฒนาตนเอง มีคนอื่นเป็นแบบอย่างในทางที่ดี ย่อมส่งเสริมให้เราเห็นแก่ตัวน้อยลง มีแนวทางให้ก้าวตาม เมื่อเป็นการเปรียบเทียบด้วยปัญญาความเข้าใจแล้ว แต่ทว่าหากเป็นไปด้วยความรู้สึก อยาก , ขาดแคลน และรู้สึกไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เราก็จะใช้ชีวิตด้วยแรงบีบคั้น “กดดัน” ตน เฝ้าตอกย้ำตัวเองด้วยความคิดความรู้สึกด้านลบ แทนที่จะจูงใจตนให้ลงมือทำสิ่งที่ควรค่า ก็จะถูก “ชักจูง” ไปตามกับคนอื่นและเป็นเหยื่อของการโฆษณาต่างๆ
.
ยิ่งมีชีวิตอยู่อย่างเฝ้า “เปรียบเทียบ” คุณค่าเพียงใด เราก็ยิ่ง “เอาเปรียบ” คุณค่าที่เรามีอยู่มากเพียงนั้น การใช้ชีวิตก็เปรียบเสมือนดวงดาวที่อับแสงในตนเอง แต่เพียงสะท้อนแสงเจิดจ้ามาจากดาวดวงอื่น เช่นการเฝ้าคว้าสินค้ามีชื่อ อยู่อย่างตามกระแสนิยม เฝ้ารอการชื่นชมจากคนอื่น ตื่นเต้นกับยอดไลค์ยอดวิว พยายามให้ดีให้เด่นเช่นใครเขา ความร่ำรวยมั่งมี และฝากคุณค่าตนไว้กับสิ่งอื่นๆ นอกตัว
.
เราพอใจที่จะอยู่อย่างพึงใจกับสิ่งจริงแท้หรือสิ่งปลอม บางครั้งเราได้บางสิ่งที่รอคอยมาเนิ่นนาน หรือมีสิ่งมีค่าบางอย่างอยู่มากมายแล้ว แต่ทำไมหัวใจจึงว่างเปล่า
.
แม้สิ่งที่เรามี หากเทียบเป็นจำนวนอาจไม่ได้มีมากมายเช่นหลายคน แต่เมื่อเราเอาจริงและใจจริงกับสิ่งที่มีอยู่นั้น ย่อมเป็นแสงตะวันเพียงหนึ่งเดียว เจิดจ้าและสว่างกว่าการเอาคุณค่านอกตัวมหาศาลมารวมกัน สิ่งจริงแท้เพียงอย่างเดียวก็ชนะสิ่งปลอมแปลงนับไม่ถ้วนได้
.
กล้าที่จะยืนหยัดคุณค่าในตน มิใช่ต่อคนอื่น แต่ต่อตัวเราเอง “เอาจริง” คือลงมือทำอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ให้สิ่งที่ดีและที่มีในตัวเรางอกเงยและงอกงาม “ใจจริง” คือยอมรับและซื่อสัตย์ต่อตัวเองอย่างที่เป็นจริง มิใช่นำภาพลักษณ์จากใครอื่นมาเป็นตัวตน
.
ดั่งดวงตะวันที่ขึ้นสู่ฟ้าอย่างองอาจ เปล่งแสงสว่างจากตนอยู่ตรงนั้น เพราะศรัทธาในคุณค่าของตนเอง แม้เดียวดายบนผืนฟ้าก็ยังสร้างประโยชน์ได้มากมาย ไม่ได้สะท้อนแสงจากดาวอื่นๆ มาเป็นของตัว เฉกเช่นดาวบางดวงที่เราเห็นยามกลางคืน ซึ่งแทบไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย เราปรารถนาชีวิตที่ส่องแสงจากตน หรือเพียงสะท้อนแสงมาจากใคร
.
คนป่วยไข้ทางใจกันมากก็เนื่องด้วยการ ไม่เคารพคุณค่าในตนเอง เมื่อหัวใจมีรูรั่ว จะเติมเต็มตัวเองด้วยสิ่งต่างๆ มากมายเพียงใดก็ว่างเปล่า ยิ่งไขว่คว้ายิ่งรู้สึกขาดแคลน ยิ่งใช้ชีวิตเรื่อยไปแต่ละวันยิ่งรู้สึกเหนื่อยล้า เมื่อเราขาดการเคารพคุณค่าในตนเองแล้ว เมื่อนั้นการใช้ชีวิตและการกระทำสิ่งต่างๆ ทั้งทางกาย วาจา และหัวใจ ย่อมย้อนแย้งกับคุณค่าของตน และบั่นทอนตัวเองเรื่อยไป ทั้งๆ ที่เราบอกว่ารักตนเอง แต่ไยการกระทำจึงขาดรัก
.
อย่างนี้เรียกว่าใช้ชีวิตอย่างไม่จริงใจ เป็น “คนปลอม” และแปลกหน้าต่อตัวเองและต่อชีวิต เพราะเรามัวแต่มองสิ่งที่ไกลตน จนหลงลืมศรัทธา หรือความวางใจต่อคุณค่าที่ตนมีอยู่
.
ชีวิตที่แท้ ความสุขอันเป็นจริง มิจำเป็นต้องเกิดขึ้นเพราะการมีมาก รวมทั้งการทำสิ่งต่างๆ ให้มากมาย อยู่อย่างน้อย ทำเล็กๆ ก็เป็นสุขได้ เมื่อเลือกที่จะอุดรูรั่วของหัวใจแล้ว แค่เติมเต็มเพียงนิดเดียว เราก็อิ่มและหลับสบาย มิจำเป็นต้องมีมากเลย เว้นช่องว่างไว้เป็นพื้นที่บ้าง เหมือนบ้านที่ปลอดโปร่งและน่าอยู่ มิได้เกิดขึ้นเพราะมีเครื่องของใช้อัดแน่น แต่เพราะมีพื้นที่ให้เราหายใจ และพักผ่อน
.
มีน้อยๆ เพื่อเว้นพื้นที่ให้เรา “มีชีวิต” มิใช่ “ใช้ชีวิต” เพื่อสะสมสิ่งต่างๆ และคุณค่านานาจากภายนอก จนไม่ได้มีชีวิตจริงๆ อยู่เลย
.
สิ่งต่างๆ เหล่านั้นซึ่งเราใฝ่หวังและเฝ้าตามหา ผ่านวันแล้วคืนเล่า “ควรค่า” หรือ “ควรฆ่า” กันแน่ แสงตะวันเพียงหนึ่งเดียวก็มากพอจะส่องสว่างเหนือความมืดมน เราเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างสะสมแสงเทียนหรือไม่ เป็นคนปลอม ผู้แปลกหน้าต่อตัวเอง หรือจะเป็น “คนจริง” ดั่งดวงตะวันดวงนั้น ผู้ยืนยันศรัทธาของการมีชีวิต
.
.
5 เคียงข้างใครสักคนยามเหน็บหนาวและมืดมน : ดั่งดวงตะวันที่ทอแสงอยู่ตรงนั้น เป็นเพื่อนแก่มนุษย์และชีวิตทั้งหลาย แม้ไม่มีคำพูดหรือคำแนะนำใดใดแก่เรา แต่เพียงเขาอยู่ ณ ตรงนั้น เราก็รู้สึกอุ่นและเห็นหนทางต่างๆ ด้วยดวงตาของตนเอง
.
ในยามที่คนใกล้ตัวกำลังมีปัญหา แม้เขาหรือเธอจะเป็นคนที่เรารู้จักหรือไม่ เราสามารถเป็นดวงตะวันในยามมืดหมองนั้น เคียงข้างกัน ในฐานะมนุษย์ที่มีหัวใจและมีคุณค่าชีวิตมิแตกต่าง
.
การช่วยเหลือใครสักคนยามทุกข์ทน เราไม่จำเป็นต้องมีถ้อยคำที่สวยหรู หรือคำแนะนำที่ฉลาด บางครั้งเราพยายามแนะนำหรือยัดเยียดแนวความคิดให้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย เพราะสิ่งที่เป็นคำตอบสำหรับเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นคำตอบสำหรับคนอื่น กุญแจที่จะไขปัญหาเรื่องราวนั้นอยู่ในตัวเขาอยู่แล้ว เพียงหัวใจอีกฝ่ายกำลังมืดมน เราพยายามชี้มือแนะนำทางที่เหมาะสม แม้มีค่าเพียงใดแต่ก็ไร้ความหมายในตอนนั้น
.
การที่เราอยู่ตรงนั้นเพื่อใครสักคน อยู่ด้วยกายและใจอย่างเต็มเปี่ยม เป็นดั่งดวงตะวันผู้มั่นคงอยู่ตรงนั้น แม้ไม่มีคำพูดหรือคำแนะนำใดใด เราก็กำลังช่วยเหลืออีกฝ่ายให้มีกำลังใจและเห็นคุณค่าในตนเองเพียงพอที่จะสู้กับปัญหาอีกครั้ง แม้แต่เราเองยามเกิดปัญหา หลายครั้งเราก็ไม่ได้ต้องการคำแนะนำเสมอไป บางทีเพียงแค่หวังใครสักคนเคียงข้างและเข้าใจ แล้วแม้มีเพียงใครแค่คนหนึ่งที่ทำหน้าที่นั้น เราก็สามารถลุกขึ้นและก้าวต่อไปได้ ด้วยสติ กำลัง และปัญญาของตัวเราเอง
.
เราทุกคนต่างมีคุณค่าที่จะอยู่ตรงนั้นเพื่อใครสักคนหนึ่ง แม้จะแปลกหน้าต่อกันและกันก็ตาม เราเองก็เช่นกัน เรามีคุณค่าเสมอที่จะมีใครสักคนหนึ่งอยู่ตรงนั้นเคียงข้างเรา เป็นดวงตะวันยามราตรีของชีวิตกันและกัน
.
เพียงแค่เรารู้จัก หยุดอยู่ตรงนั้น ด้วยหัวใจและสติอย่างเต็มเปี่ยม ให้พื้นที่และเวลากับอีกฝ่ายเสมือนบ้านที่ปลอดภัยและคงมั่น แสงสว่างในตัวเราเองจะบอกว่าเราควรทำสิ่งใดเพื่อคนๆ นั้น
.
การอยู่เคียงข้างใครสักคนมิเคยทำให้เราเสียเวลา เพราะขณะที่เรากำลังอยู่ตรงนั้น เราเองก็กำลังอยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างหัวใจตนอีกด้วย เราต่างมีเด็กน้อยอยู่ข้างใน เป็นบางส่วนของหัวใจที่เปราะบางและต้องการการดูแล มาจากอดีตอันยาวไกลและบางรู้สึกรู้สาที่มิทันได้ดูแลในยามเป็นผู้ใหญ่ แสงสว่างที่หยิบยื่นแก่คนอื่น ก็ได้ย้อนกลับมาโอบอุ้มประคองหัวใจเราด้วยเช่นกัน
.
ส่วนเล็กๆ ที่เปราะบางในตัวเรานั้นดั่งดอกไม้ในสวน เรามีคุณค่าและความงดงามเพียงพอที่จะได้รับการถนอมและอยู่ชื่นชม แล้วเรานั้นก็มีคุณค่าและความสามารถเพียงพอที่จะเป็นดั่งดวงตะวันผู้โอบเอื้ออารี อยู่บนฟ้าแก่ดอกไม้เหล่านั้นในตัวเราและใครๆ
.
การอยู่เคียงข้างดั่งดวงตะวันบนท้องฟ้า สอนเราอีกว่า การอยู่ช่วยเหลือผู้อื่นไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปเที่ยวเทียวจัดการหรือวิจารณ์อีกฝ่าย แต่เว้นพื้นที่ไว้ให้เคารพชีวิตของเขา ไม่ใกล้กันเกินไป จนเผาไหม้กันและกัน
.
ทุกขีวิตต้องการพื้นที่ของตนเอง หากดวงตะวันเข้ามาใกล้ดอกไม้เกินไป ความงดงามก็มอดไหม้หมดสิ้น ต่างมีช่องว่างไว้ให้กัน แสงสว่างก็อุ่นอย่างพอดี มีพื้นที่ให้กลีบดอกคลี่บาน ทุกชีวิตมีทางไปของตน
.
เราไม่จำเป็นต้องนำคติและมุมมองของเรา เข้าไปครอบงำหรือตัดสินอีกฝ่าย เพียงแค่เราอยู่ตรงนั้นอย่างเต็มที่ อยู่กับใครสักคนอย่างเต็มเปี่ยม มิใช่อยู่กับความคิดในใจเรา หรืออยู่กับอคติของตัวเอง ดวงตะวันไม่เคยตัดสินว่าเราอ่อนแอ แค่มอบโอกาสให้เข้มแข็งด้วยตนเอง ต่างฝ่ายจะยิ่งเปลี่ยวเหงาและแปลกหน้าต่อกัน เมื่อทุกคนเอาแต่อยู่กับความคิดของตน เมื่อใดที่เราวางสิ่งต่างๆ ในใจลง เราก็มีพื้นที่ว่างให้อีกฝ่าย และเด็กน้อยข้างในเราแล้ว
.
แม้อยู่ไกลราวฟ้ากับดิน ความใส่ใจกับคุณค่าจากตัวเราก็สามารถเดินทางดั่งแสงสว่าง ผ่านพรมแดนแห่งพื้นที่และกำแพงทิฐิ อีกฝ่ายอาจได้รับหรือรู้สึกมากน้อยไม่สำคัญ นั่นไม่ได้ทำให้คุณค่าของการให้และการอยู่ตรงนั้นของเรามากขึ้นหรือลดลง ดั่งดวงตะวันไม่ได้สดใสขึ้นหากมีใครขอบคุณหรือชื่นชม มิว่าดอกไม้หุบหู่หรือคลี่บาน แสงสว่างจากดวงตะวันก็ก่อเกิดผลต่อกลีบใบและลำต้นอยู่ดี
.
เชื่อมั่นอยู่เสมอว่า คุณค่าของสิ่งที่เราได้ทำอย่างเต็มที่ จะยังคงอยู่ตรงนั้น หล่อเลี้ยงผู้คนและสิ่งรอบข้าง เท่าที่ปัจจัยจะน้อมนำให้เกิดผลและเท่าที่ปัจจัยจะชักนำให้อีกฝ่ายรับรู้ ทั้งสองนี้เป็นหน้าที่ของจักรวาล ไม่อาจควบคุมหรือบังคับ แต่หน้าที่ของการทำอย่างเต็มที่และอยู่อย่างเต็มเปี่ยมด้วยคุณค่านั้น เป็นหน้าที่ของเราเอง
.
.
6 แสงตะวันไม่เลือกดอกไม้ รักไม่มีเงื่อนไข : เมื่อดวงตะวันขึ้นพ้นขอบฟ้า แสงยามเช้าแรระบายทั่วเมฆและแผ่นดิน ทั้งดอกไม้ ก้อนหิน สิ่งน่ารัก และน่าชัง ต่างได้รับความอบอุ่นและสีสันอันแจ่มใสด้วยกัน ดวงตะวันมิเลือกหรือสร้างเงื่อนไขเพื่อมอบความรักอันสุกใส แต่เปิดใจและเปิดกว้างอย่างเป็นสุข
.
เราทุกคนต่างมีคุณค่าในความสามารถที่จะรักและความรักที่มีอยู่แล้วในตัวทุกคน ขณะเดียวกันใจเราเองต่างต้องการความรักชนิดที่พร้อมเปิดรับตัวเราอย่างไม่มีข้อจำกัด มิว่าเราเป็นใครหรือเป็นคนอย่างไร รักชนิดนี้คือรักที่ไร้เงื่อนไข ความรักซึ่งพาให้เรายอมรับและเห็นคุณค่าในตนเองตามที่เป็นจริง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องพยายามเป็นใครหรือกลบเกลื่อนหลบซ่อนตนเอง
.
ทว่าเราก็หลงลืมที่จะมอบสิ่งมีค่านี้ให้แก่ตนและคนอื่นๆ มาอยู่ตลอด เราวางเงื่อนไขที่จะรักไว้กับสิ่งนอกตัว คุณค่าปลอม และสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน พยายามไขว่คว้า “รักไร้เงื่อนไข” ด้วยการ “สร้างเงื่อนไข” ต่างๆ ให้ชีวิต ผูกมัดรัดหัวใจด้วยกรอบ ค่านิยม วัตถุ ความเชื่อ และเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้ตัวเรารู้สึก “ดีพอ” จนไม่อาจรู้สึก “พอดี” ได้ ต้องโหยหาไขว่คว้าไม่สิ้นสุด เพราะหัวใจรู้สึกขาดแคลน
.
ชีวิตเราเหน็ดเหนื่อยมากเพียงใดกับความไม่อาจหาความพอดีและที่สิ้นสุดได้ เมื่อเรายิ่งวิ่งไล่ตามหรือเดินตามร่องไป เราไม่อาจตอบตนเองได้ว่าอะไรคือความหมายที่เรามีชีวิต ดั่งว่าเราทำความหมายนั้นหายไป ซึ่งแท้จริงเราเพียงมัวแต่จดจ่อกับเงื่อนไขที่จะพึงพอใจตน จนลืมการรักตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องใช้เงื่อนไขบ้าง
.
เมื่อเรามีเงื่อนไขต่อตนมาก การจะเริ่มต้นสิ่งใดๆ ก็ยากเข็ญ เพราะเต็มไปด้วยความกลัวและความกังวลมากมาย เงื่อนไขทั้งหลาย เราสร้างขึ้นเองด้วยมุมมองความคิดและจิตใจของตน เพื่อเติมเต็มความต้องการพื้นฐานและความมั่นคงของชีวิต แต่เราปล่อยให้สิ่งที่เราสร้างขึ้นผูกมัดใจเราไว้จนไม่ได้เติมเต็มสิ่งที่เราต้องการแท้จริง
.
หากแสงตะวันเลือกดอกไม้ โลกนี้คงจำเจด้วยดอกไม้ไม่กี่พันธุ์ เมื่อเรารักตัวเองอย่างมีข้อจำกัดต่างๆ ตัดสินตน เราก็เห็นและใช้ศักยภาพในตนได้แค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น เพราะดวงตะวันมีรักที่ไร้เงื่อนไข และไม่ปิดกั้นตนเองด้วยข้อจำกัดต่างๆ เผาผลาญตัวตนพร้อมแผ่แสงสว่างกว้างไกลสุดฟ้า ดอกไม้ ต้นไม้ และสิ่งนานา ก็พร้อมแผ่ผลิงอกงาม
.
โดยธรรมชาติเรามีความรักที่เปิดกว้างอยู่แล้ว ระลึกถึงช่วงเวลาแรกเกิดของแต่ละคน เราพร้อมจะยิ้มและร้องไห้ รับการดูแลและเข้าหาทุกสิ่ง กล้าที่จะเริ่มต้นและเปล่งเสียงของตน ไม่กลัวต้องร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ธรรมชาติเดิมที่เปิดกว้างเช่นนี้อยู่ลึกในจิตใจของเราทุกคน ทุกยามที่เรารู้สึกปลอดภัยและวางใจต่อตนเอง
.
เราไม่จำเป็นต้องดีพอตามมาตรฐานใด เราทุกคนก็มี “ค่าควร” แก่การรับ ความรักและทุกสิ่งที่ “ควรค่า” อยู่แล้ว การมอบความรักให้แก่ตนเองและคนอื่น ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาวิธีการ การอบรม วัตถุสิ่งของ หรือมูลค่าราคาใด เพียงแค่ใช้หัวใจที่กล้ารัก กล้ายอมรับ ดั่งอ้อมกอดที่โอบรอบทุกด้านที่เราคนหนึ่งมีและเป็น
.
.
7 ตะวันย่อมตกดิน ความงามมิได้มีตอนขึ้นเท่านั้น : แม้คุณค่าของชีวิตเราก็ไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืน หากเรายึดติดในคุณค่าใดของตนเองมากเกินไป จนถึงวันหนึ่งแล้วเราไม่อาจสามารถทำหรือเป็นเช่นเดิมได้อีก เราก็ย่อมรู้สึกแย่ต่อตนเอง ชีวิตมิได้งดงามเฉพาะขาขึ้นเท่านั้น แม้แต่ขาลงเราก็เห็นความงามที่แตกต่างได้เช่นกัน
.
ยามแสงใกล้ล่วงลับ หมู่เมฆทอแสงเรืองม่วงคราม ขอบฟ้าไกลๆ เรื่อแดงดั่งแก้มกุหลาบ น้ำเงินสงบคลี่คลายเบ่งบานไปทั่วทิวทัศน์ช้าๆ หมู่ดาวค่อยคล้อยตื่นจากการหลับไหล วันวารของชีวิตที่อดทนและเพียรหาเลี้ยงชีพทั้งวี่วัน ถึงเวลาพักอีกคราวแล้ว ยามสิ้นสุดก็มีคุณค่ามิต่างจากการเริ่มต้น หยุดลงเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และเอื้อให้วันใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้ก่อเกิด
.
ตะวันกับฟ้าย่อมงามได้หลายช่วงเวลา สำหรับผู้มีดวงตาและดวงใจพร้อมเหมาะสม คุณค่าในตัวเราคนหนึ่งก็มีความงามกับคุณค่าหลายด้านเช่นกัน เมื่อเราเจอสิ่งที่ใช่และสิ่งที่ชอบ หรือเรารู้ตัวว่าเราเป็นสุขในยามทุ่มเททำสิ่งใด สิ่งนั้นงดงามควรค่าแก่เราแล้ว แต่ไม่ควรทุ่มโถมหมดใจและหมดทุกสิ่งเพียงเพื่อคุณค่าเพียงด้านเดียว การจะเป็น “ตัวเรา” นั้นต้องประกอบด้วยหลายสิ่งมากมาย เมื่อเราละเลยคุณค่าอื่นๆ ของชีวิตไป เราย่อมเสียศูนย์และสิ้นกำลังใจได้สักวันหนึ่ง
.
เราไม่เพียงมีการงาน หรือสิ่งที่รักเท่านั้น เรายังมีสุขภาพร่างกาย อารมณ์ขัน การรู้จักตนเอง ความยืดหยุ่น การเติบโตทางจิตใจ เพื่อน การอดออม และอื่นๆ อีกมหาศาลที่เป็นคุณค่าของชีวิต ทุกด้านเหล่านี้เหมือนสายใยหล่อเลี้ยงกำลังกาย กำลังใจ และกำลังสติปัญญา เราทุ่มเทบางด้านจนทุ่มทิ้งชีวิตเกือบทั้งหมดไป ชีวิตย่อมไม่เหลืออะไรในยามสิ้นสุดของสิ่งที่เราใส่ใจ
.
ทุกสิ่งย่อมมีวันเปลี่ยนแปลง วันหนึ่งร่างกายเราก็ไม่อาจทำงานหรือทำสิ่งที่ชอบนั้นได้เต็มที่อีก วันหน้าเราอาจไม่มีช่วงเวลาเปี่ยมสุขเช่นนี้กับคนที่เรารัก ในอนาคตเราอาจต้องหมดเงินทองไปกับการซ่อมแซมดูแลสิ่งที่เราเคยประมาท ไม่ช้าก็เร็วขาลงของสิ่งที่เราเคยเชื่อมั่นว่าดีย่อมมาถึง
.
ในยามดวงตะวันตกดิน เรามีเวลาได้หยุดลงเพื่อพักกายใจและทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ดวงดาราต่างๆ มีพื้นที่ได้เผยตัวตน เสียงแมลงระงม บทเพลงของชีวิตจังหวะใหม่เล่นร้อง ในยามขาลงและกาลสิ้นสุดเผยพื้นที่ให้เราฉุกคิด และหันกลับมาหาสิ่งที่เราทอดทิ้ง
.
คนเราไม่ได้มีคุณค่ายามประสบความสำเร็จและการเป็นที่รักเท่านั้น ในยามล้มเหลวและโดดเดี่ยว เราเองก็ยังมีคุณค่าอยู่เช่นกัน
.
หากเรามองไม่เห็นในช่วงเวลาดังกล่าว นั่นย่อมสะท้อนว่า เรายึดติดกับบางคุณค่าชีวิตมากเกินไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา หรือเรามัวแต่ใส่ใจพึ่งพิงคุณค่าจากสิ่งอื่นๆ นอกตัวเกินควรในชีวิตที่ล่วงเลย นี่ถึงเวลาแล้วที่เราจะใส่ใจคุณค่าอื่นๆ เกี่ยวกับตัวเรา
.
ดวงตะวันย่อมขึ้นใหม่เสมอ หลังผ่านราตรีมืดมน แต่ระหว่างทางนั้นความงดงามมากมายก็ผลิพราวอยู่บนฟ้าและรอบๆ คนเรา หากเราไม่มัวแต่จดจ้องไปในความมืดดำแล้วรอมันสว่างอีกครั้ง เราก็มีเวลาได้ทำสิ่งที่มีความสุขชนิดที่เราได้ลืมไปนานแล้ว
.
.
อนุรักษ์ ครูโอเล่
#คอลัมน์ #ไกด์โลกจิต
( ตอนที่ ๑ ) www.dhammaliterary.org/คุณค่าชีวิตดั่งตะวัน1/
( ติดตามการอบรม #เขียนเปลี่ยนชีวิต #เด็กน้อยภายใน #พลังแห่งจิต )
www.dhammaliterary.org