เขียนบันทึกเพื่อรักตัวเอง ตอนที่ 4

 

 

เขียนบันทึกเพื่อรักตัวเอง #4

“ปล่อยมือจากเชือก รักอย่างลดวางเงื่อนไข”

 

ผมกลัวทะเลและการจมน้ำมาตั้งแต่เด็ก เคยจมน้ำเกือบตายในบ่อที่คิดว่าตื้นหากอาไม่ได้ช่วยไว้ การสำลักน้ำในตอนนั้นกับเหตุการณ์ถูกกลั่นแกล้งต่างๆ ที่เจอในวัยเด็ก ผนวกบรรยากาศในครอบครัวที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก ทำให้จิตใจผมสร้างกลไกที่ไม่อยากเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ ด้วยการตั้งแง่ร้ายไว้ก่อน มองแง่ลบไว้ก่อน คอยประเมินสิ่งต่างๆ ล่วงหน้าโดยค่อนไปในทางลบเสมอ และรู้สึกว่าโลกไม่ใช่ที่ๆ ปลอดภัยสำหรับตนเอง เป็นความกลัวฝังใจ
.
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๔ ผมต้องทำกิจกรรมอยู่ที่อาศรมวงศ์สนิท คลองสิบห้า จังหวัดนครนายก อยู่บ่อยครั้ง ตรงทางเข้าอาศรมฯ เราจะต้องขึ้นโป๊ะแพ แล้วใช้มือสาวเชือกพาข้ามฝั่งคลอง ไม่มีถนนให้เดินเข้าไปได้ วันหนึ่ง ผมมีโอกาสได้เข้าอบรมเกี่ยวกับจิตวิทยากระบวนการ (Process Work) บางแบบฝึกหัดทำให้ผมรู้สึกวางใจโลกขึ้นมามากขึ้น ผมจำได้ว่าชอบการว่ายน้ำและการเล่นกับน้ำมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ทุกครั้งที่เห็นคลองข้างหน้าทางเข้าซึ่งเราต้องสาวเชือกให้แพพาข้าม ลึกๆ ในใจก็มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่รู้สึกอยากลงเล่น แต่มันน่ากลัว ไม่ปลอดภัย และดูไม่สะอาดในสายตาของตัวตนผู้ใหญ่ แต่วันนั้นผมตัดสินใจกระโดดลงจากโป๊ะแพ มือจับเชือกที่ผูกระหว่างโป๊ะแพและฝั่งทั้งสอง มีคนอื่นคอยนั่งเล่นช่วยดู ผมเล่นน้ำด้วยการจับเชือกพาตัวเองว่ายข้ามฝั่งไปมา
.
ผมติดใจการว่ายน้ำคลองสิบห้าหน้าอาศรมฯ ตั้งแต่วันนั้น ทุกครั้งที่มาเยือนผมจะต้องหาเรื่องกระโดดลงไปเล่นน้ำให้ได้ แม้ตนเองจะเป็นวิทยากรหลักของค่ายก็ตาม หรือไม่มีใครคอยดูก็ตาม จะว่าว่ายน้ำก็ไม่เชิง เพราะยังคงเหมือนเดิมคือมือจับเชือกแล้วดึงตัวเองเคลื่อนตัวในน้ำระหว่างสองฝั่ง กลับไปกลับมา ทำอย่างนี้อยู่ปีกว่า ผมสนุกแต่ก็กลัวในท่ามกลาง มือผมจับเชือกแน่นเป็นที่ยึดเหนี่ยว แม้ลองนอนหงายฝึกลอยตัว มือผมก็ยังจะต้องจับ หากปล่อยไป เกรงว่าน้ำลึกหลายเมตรจะพากายนี้หลุดลอย ผมยังว่ายน้ำไม่ได้และกลัวที่จะต้องว่ายโดยไม่มีที่ยึด
.
กลางฤดูร้อนปี ๒๕๕๕ ช่วงที่กำลังคิดตัดสินใจทิศทางของโครงการธรรมวรรณศิลป์ ปีที่ห้า เย็นวันนั้นคนอื่นๆ ตามมาเล่นด้วยมากมาย มีน้องบางคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นและกลัวได้ลงมาเล่นด้วยการดูแลของพี่ๆ เพราะด้วยนิสัยบางอย่างคล้ายคลึง ผมจึงเห็นเขาอยู่ในตัวผม เสียงสนุกสนานภายนอกตีกับเสียงที่ลังเลภายใน ผมคิดว่าถ้าปล่อยมือแล้วว่ายออกไป จะไปถึงไหม ผมจะจมน้ำตายไหม แล้วจู่ๆ ผมก็พุ่งตัวไปข้างหน้า มือสาวเงื้อกวัดไกวน้ำ พาร่างกายเคลื่อนไป มือปล่อยจากเชือกและสิ่งใดๆ พยายามเชิดคอชูศีรษะเหนือน้ำไว้ ความรู้สึกในใจตอนนั้นหลอมรวมระหว่างความมั่นใจและหวาดกลัว จิตอธิษฐานขณะเริ่มว่ายว่าหากผมต้องดูแลโครงการนี้ต่อไป ให้ว่ายถึงอีกฝั่งได้ สำเร็จ เวลาดูช้าลง ใจรับรู้ความกลัวแต่ร่างกายไม่เกร็ง ผลปรากฎว่าไม่เพียงว่ายไปถึงอีกฝั่งสำเร็จ ผมได้ว่ายกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบอีกด้วย
.
เพิ่งรู้ตัวว่าว่ายน้ำเป็นก็เมื่อลองยอมปล่อยมือ ลีลาและความรู้สึกขณะว่ายแบบมือไม่จับเชือกกับตอนจับเชือกอยู่ดูไม่ได้ต่างกันมากเลย ทำให้ได้คิดหลังจากนั้นว่าที่จริงการฝึกว่ายมาเกือบสองปีในคลองสิบห้า มากพอจนทำให้ว่ายเป็นมาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว เพียงแค่ผมไม่เคยลองปล่อยมือเท่านั้น ร่างกายคุ้นเคยกับสายน้ำแล้ว แต่ใจแปลกแยกเพราะความกลัว การปล่อยมือจากเชือกครั้งนั้นทำให้ชีวิตผมมุ่งไปข้างหน้าด้วยทิศทางที่ชัดเจน ปัจจุบันโครงการก็ขึ้นมาปีที่ ๑๑ แล้วในวันที่เขียนบทความนี้ ผ่านการทดลองต่างๆ และล้มเหลวมากมาย แต่งานทั้งหลายก็มั่นคงมากขึ้นตามลำดับ
.
เชือกเสมือนสิ่งที่ใจเรายึดเหนี่ยวไว้เพื่อรับมือกับความกลัวจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราเผชิญมาตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อจิตใจเจอเหตุการณ์บางอย่าง หรือบางถ้อยคำจากผู้อื่น เพื่อให้รู้สึกมั่นคงและมีคุณค่า ใจก็ถักร้อยเชือกอันได้แก่ ทัศนคติ มุมมองต่อตนเองและต่อโลก , ท่าทีในการเข้าสังคม หรือรับมือกับปัญหา วิธีคิด และอื่นๆ เรายึดเหนี่ยวเชือกบางเส้นเอาไว้เพราะหวังว่าเราจะไม่ทุกข์เหมือนกับที่เคยเผชิญ และเพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองดีพอ พฤติกรรมทางกาย วาจา และใจที่เคยชิน เหล่านั้นล้วนแต่เป็นเชือกที่เราผูกด้วยทั้งสิ้น
.
เชือกทำให้รู้สึกปลอดภัย แต่เมื่อเรายึดผูกบางเชือกไว้กับใจมากจนเกินไปแล้วเชือกเหล่านั้นก็กลายเป็นปม และเป็นเหตุของความกลัวเสียเอง เชือกนี้เดิมทีก็มีประโยชน์และจำเป็นต่อชีวิต เพียงแต่ว่าหากเราติดอยู่กับเงื่อนปมนั้นมากเกินไป เราจะหลงลืมความกล้าหาญและศักยภาพที่เรามี ผมจะไม่รู้เลยว่าตัวเองว่ายน้ำได้และมีพลังมุ่งมั่นที่จะพาโครงการมาถึงปีที่สิบเอ็ด หากผมไม่ปล่อยมือในวันนั้น
.
เราต้องย้ำอย่างชัดเจนว่าเชือกเหล่านี้ใจเราเป็นผู้ผูกขึ้นมาเอง แม้หลายเรื่องเราอาจเป็นผู้ถูกกระทำจากภายนอก แต่สิ่งที่เราคิด รู้สึก และตอบโต้ต่างก็เป็นสิ่งที่เราเลือกด้วยตนเอง บางคนนั้นถูกพ่อแม่และคนรอบตัวพูดแต่คำแง่ลบใส่ตน เป็นมาตั้งแต่วัยเด็ก จนเมื่อโตขึ้นคนรอบตัวพูดลบกับเราน้อยลงแล้ว แต่ใจยังคงย้ำคิดถึงคำพูดเหล่านั้น ทั้งว่าตนเองแบบที่เคยถูกว่าและตำหนิคนอื่นที่พูดแต่บั่นทอนกำลังใจ โดยมิได้รู้ตนว่าตัวเราเองกำลังเป็นผู้บั่นทอนกำลังใจตนเองไม่น้อยกว่าที่คนอื่นกระทำเลย ด้วยการซึมซับสิ่งที่ถูกกระทำมากระทำต่อตนเอง
.
กรณีที่ยกตัวอย่างนี้เชือกที่เขาเกาะเกี่ยวไว้ก็คือคำพูดจากคนอื่น และเขาก็เอาเชือกเดียวกันนี้มาผูกรัดตัวเองไว้จนเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่าทีและคำพูดที่พ่อแม่กระทำต่อเราและกระทำต่อกันในวัยเด็กย่อมมีผลทำให้เราเลียนแบบนำมาใช้กับตนเองและคนรอบข้าง
.
เชือกเหล่านี้เรียกอีกแบบได้ว่า “เงื่อนไข” ความรักต่อตนเองที่ยังไม่แท้จริง จะถูกผูกมัดด้วยเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งถักร้อยจากความกลัวและความอยาก สิ่งเหล่านี้คือเครื่องทำให้ใจหม่นหมองเรียกว่า “กิเลส” การที่เรายังมีกิเลสอยู่จึงทำให้การรักตนเองยังมิใช่รักที่แท้จริง เพราะความอยากนั้นจะทำให้เราขวนขวายสิ่งต่างๆ มาเป็นเครื่องระบุคุณค่าตัวเราอย่างไม่สิ้นสุด มากเท่าใดก็ไม่พอ ด้วยความอยากนั้นถูกผลักดันจากความรู้สึกลึกๆ ว่า ตัวเราไม่ดีพอ การที่เราอยากได้คำชื่นชมจากคนอื่น อยากเป็นที่รักจากคนอื่น อยากได้สิ่งนั้นมาหรือสิ่งนี้มาเพื่อให้รู้สึกภูมิใจ เหล่านี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของเงื่อนไขซึ่งเป็นเชือกที่ผูกใจเราไว้ว่า ฉันจะต้อง…หรือคนอื่นจะต้อง…ฉันจะ…จึงจะมีคุณค่าพอ
.
ในการเขียนก็เช่นเดียวกัน ขณะมือจับปากกาแล้วเชื้อเชิญอักษรแต่ละตัว ใจเราอาจมีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้สิ่งที่เขียนเหล่านั้นไม่ได้ออกมาจากหัวใจตนเองอย่างแท้จริง แบ่งออกคร่าวๆ ได้ว่าการเขียนนั้นมีทั้งแบบเขียนอย่างส่งจิตออกนอก และเขียนอย่างส่งจิตเข้าใน หากเราเขียนเพื่อหวังว่าจะมีคนอื่นอ่านหรือเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง นี้ยังมิใช่การเขียนเพื่อตนเองอย่างแท้จริง การเขียนอย่างพะวงหน้าพะวงหลังว่าจะเขียนอย่างไร เขียนไปแล้วดีไหม นั่นก็ยังมิใช่การเขียนเพื่อตนเองอย่างแท้จริง เพราะเรายังเขียนไปมือจับเชือกไป ยึดจับเงื่อนไขที่ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่าหรือรู้สึกว่าสิ่งที่เขียนมีคุณค่า สิ่งที่สะท้อนตนจากบันทึกก็จะไม่เต็มที่ สิ่งที่เขียนไปนั้นก็จะยังมิได้ออกมาจากเนื้อแท้ภายใน เราต้องเขียนอย่างปล่อยมือออกจากเชือก แม้ยังยึดในขั้นตอนและกติกาที่กำหนด แต่ขณะเขียนใจต้องปล่อยเชือกของความคิด ความกลัว เงื่อนไข และความอยากให้คนอื่นอ่าน
.
ต้องเขียนเพื่อตัวเองอ่าน และเขียนเพื่อสืบค้นลงลึกในตัวเอง โดยที่มิใช่เขียนเฉพาะจดคำตอบในสิ่งที่คิด แต่ต้องเขียนชวนให้ใจคิดไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดนำหน้า มีสติที่มือหรือการเขียนแล้วให้การกระทำนำทางไป ปล่อยมือออกจากเชือกว่ายข้ามน้ำบนหน้ากระดาษไปสู่อีกฝั่ง ไม่ต้องกลัวว่าจะบาดเจ็บ จมน้ำในบันทึกไม่ถึงตาย
.
บางคนกลัวที่จะเขียนต่อให้มากกว่าพื้นที่ปลอดภัยเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับความทุกข์และสิ่งที่ไม่ดีในตัวเอง แต่ความกลัวมักทำให้สิ่งต่างๆ ดูเลวร้ายกว่าที่คิดเสมอ ผมมักได้ยินจากผู้เรียนว่าในการเขียนบันทึกถึงเหตุการณ์ความทุกข์มักรู้สึกกลัวในตอนแรกว่าจะเสียใจหรือรู้สึกอินมาก แต่พอลงมือทำแล้วกลับมีใจที่เป็นกลางกว่าที่คาดไว้ ซึ่งแน่นอนย่อมมีบางคนที่ยังทุกข์กับเรื่องราวที่บันทึกอยู่ เราจึงต้องแนะนำขั้นตอนให้เขาดูแลหัวใจตนเองต่อ จนสามารถมองเหตุการณ์ดังกล่าวได้อย่างเป็นกลางมากขึ้น จึงจะเรียกว่าได้เยียวยาใจแล้ว
.
เงื่อนไขเพื่อการรักตนเองคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์ได้ไม่น้อยกว่าสิ่งนอกตัวกระทำต่อเรา เพราะเราจะคอยขวนขวายและกังวลใจต่อสิ่งที่เป็นเงื่อนไขต่างๆ ต่อตนเอง จนหลงลืมไปว่าเราไม่จำเป็นต้องมีสิ่งนั้นหรือเป็นอย่างนั้นเสมอไป เราก็มีคุณค่าได้ มีความสุขได้ และรักตัวเองได้ สิ่งที่เราเขียนก็มีความงดงามแม้มิได้มาจากวรรณศิลป์ที่สมบูรณ์แบบ หรือไม่มีใครชื่นชมผลงาน การที่เรายึดผูกเชือกที่ถักร้อยขึ้นมาจากความอยากเหล่านี้ก็เพราะด้วยว่าความกลัวตนเองไม่ดีพอและกลัวเป็นทุกข์ จึงสร้างเงื่อนไขต่างๆ ไว้เพื่อให้จิตใจยึดเหนี่ยว แต่ความจริงที่ต้องตระหนักคือ เงื่อนไขเป็นแค่คำตอบหนึ่งของคุณค่าชีวิตเท่านั้น มิใช่คำตอบที่สุดแล้ว ความงดงามของถ้อยคำที่เขียนก็เป็นเพียงคุณค่าด้านเดียวของสิ่งที่เขียนเท่านั้น
.
ในแง่ความสัมพันธ์ บางคนไม่พร้อมที่จะรักและให้กำลังใจแก่ตัวเรา เพราะในใจเขาก็มีความทุกข์และมีความไม่รักตัวเองอยู่ด้วย จึงมีท่าทีที่ส่งมอบความเจ็บปวดให้แก่คนรอบตัว เราจึงไม่จำเป็นเลยที่จะต้องผูกเงื่อนไขการรักตัวเองไว้กับพวกเขาเหล่านั้น เรายังมีคนและสิ่งอื่นๆ อีกมากที่พร้อมรักและให้กำลังใจ คุณค่าในตัวเราไม่ได้มีคำตอบเดียว แม้ตอนที่ล้มเหลว สิ่งที่ทำและสิ่งที่เราเป็นก็ยังมีคุณค่าอยู่อีกหลายด้าน เราต้องคลายตัวเองออกจาก การยึดติดด้านบางด้านที่ใส่ใจมากเกินไป เราจึงจะมีโอกาสรักตัวเองอย่างเปิดกว้างอย่างแท้จริง
.
การบำบัดเยียวยาด้วยการเขียนนั้น เราจึงใช้ทั้งหัวข้อบันทึก ขั้นตอน และการสะท้อนหลังบันทึกเพื่อสืบสาวดูว่าเราใช้เงื่อนไขใดกับตัวเองมากเกินพอดี โดยมากแล้วจะปรากฏออกมาผ่านรูปแบบของเหตุการณ์หรือคำตอบที่ตอบซ้ำๆ เช่นบันทึกถึงความสุขก็เป็นความสุขที่เกิดจากการทำอะไรให้ผู้อื่นเป็นส่วนใหญ่ สะท้อนถึงแนวโน้มว่ามีเงื่อนไขการรักตัวเองที่เกี่ยวข้องกับคนอื่น และนิยามความคิดเกี่ยวกับความสุขและความคิดเห็นต่างๆ ว่ามีแนวโน้มยึดติดเกี่ยวกับคุณค่าใด ตรงจุดนี้บางทีเราก็ไม่เห็นตัวเองต้องให้ครูหรือนักให้คำปรึกษาวิเคราะห์บอกเรา
.
นอกจากเขียนขึ้นใหม่ เราสามารถทบทวนบันทึกเก่าๆ หรือโพสต์ในสื่อโซเชียลว่าเรามักเขียนถึงอะไร หรือโพสต์เกี่ยวกับอะไร หรือมักคิดอย่างไร สิ่งเหล่านั้นก็สะท้อนคุณค่าที่เรายึดไว้
.
ทุกหน้าบันทึกต่างสามารถสะท้อนเงื่อนไขการรักตัวเองได้ แม้จะเป็นบันทึกที่เขียนถึงตนในแง่บวกมากก็ตาม การมองโลกแต่แง่ดีและแง่สวยงามจนเกินไป แต่ละเลยที่จะทบทวนอีกด้านก็เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่จิตสร้างขึ้นเพราะไม่ยอมรับในมุมที่ไม่สวยงามของตนเอง หรือกลัวตัวเองด้อยกว่าผู้อื่น
.
หลังจากได้บันทึกจนเห็นว่าเรารักตัวเองอย่างไร มีเงื่อนไขอย่างไรบ้างแล้ว จึงเปิดโอกาสให้ได้เขียนและระลึกถึงช่วงเวลากับคุณค่าในตัวเราในเรื่องอื่นๆ ที่แตกต่าง บางทีเราก็ไม่ยอมคลายจากเงื่อนไขต่อตนเองลง เพราะเชื่อว่านั่นคือคำตอบเดียวของชีวิต หรือกลัวว่าเมื่อทิ้งจากเงื่อนไขไปแล้ว จะอยู่อย่างไรต่อไป เราจึงให้โอกาสได้ลองเขียนแบบที่ต่างไปจากเดิม หากเขาไม่ค่อยให้ความรักต่อตนเองนัก แต่ต้องรอการชื่นชมจากคนอื่น เราก็ให้เขาเขียนจดหมายชื่นชม ขอบคุณ ขอโทษ และให้อภัยแก่ตนเอง หากเห็นแต่ความสุขของชีวิตที่เป็นเรื่องของการทำเพื่อคนอื่น เราก็ต้องเชื้อชวนเขาให้ระลึกถึงช่วงเวลาของความสุขเล็กๆ ที่เกิดจากการทำเพื่อตนเองด้วย
.
บางหัวข้อหรือขั้นตอนอาจทำให้รู้สึกยากหรือติดขัดในการเขียน ตรงจุดนั้นมักจะมีอะไรบางอย่างที่ขัดกับเงื่อนไขที่ผูกใจไว้ แต่กระบวนการในการบันทึกเพื่อรักตัวเองมิได้เป็นเส้นตรงที่ตายตัว เราสามารถให้เวลาตนเองค่อยเป็นค่อยไปในแต่ละหัวข้อเขียนได้ แต่ที่สำคัญคืออย่าพึงเขียนเพียงแค่ได้บันทึกจดคำตอบที่ตนเองคิดไว้ แต่ต้องให้เวลาตนเองได้เขียนแม้ในสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน ให้เสมือนการเขียนเป็นการเดินทางไปสู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก เราจึงจะเห็นและรักตัวเองมากกว่าที่ผ่านมา
.
จุดนี้จะเป็นอุปสรรคสำหรับคนที่ยังเคยชินกับการเขียนแบบปกติที่ผ่านมา คือเขียนเพื่อจดให้จำ แต่ยังไม่เคยฝึกให้การเขียนเป็นเครื่องมือช่วยคิดมาก่อน ต้องใช้คำแนะนำและเครื่องมือดังที่ผมบอกไว้ในบทความตอนก่อนหน้าเพื่อช่วยจุดประกาย แต่หากเรายังติดที่การเขียนแค่ในสิ่งที่เราคิดไว้ จุดนี้ก็สะท้อนเชือกที่ใจผูกได้เช่นกัน เราอาจยึดในมุมมองความเห็นแบบหนึ่งๆ มากเกินไป
.
การวางจากเงื่อนไขต่างๆ ลงได้นั้น นอกจากเราควรฝึกมองคำตอบของชีวิตที่หลากหลายด้านแล้ว เราจำเป็นต้องมองให้เห็นว่าเงื่อนไขที่เรายึดติดนั้นเป็นทุกข์อย่างไร มุมมองความเชื่อแบบนี้นำมาสู่ความทุกข์และปัญหาอย่างไรบ้าง เพราะด้วยการเห็นทุกข์หรือปัญหาอย่างชัดเจนเท่านั้น จิตจึงมีฉันทะหรือความพอใจที่จะฝึกฝนเพื่อก้าวข้ามออกมา ก่อนที่จะปรับใช้เงื่อนไขและมุมมองทั้งหลายให้พอดีและยืดหยุ่นต่อตัวเราเองมากขึ้น
.
คุณสมบัติสำคัญข้อหนึ่งของการรักตัวเองเป็น คือการยืดหยุ่นต่อตนเองได้ การที่เราเกาะเหนี่ยวบางเงื่อนไขมากเกินไป ทำให้เราขาดความยืดหยุ่น ดังนั้นเราจึงกลัว ดังนั้นจึงรู้สึกว่าชีวิตมีหนทางที่จำกัด แต่จริงๆ แล้วเป็นตัวเราเองที่จำกัดหนทางชีวิต
.
ตราบใดที่ยังมีทุกข์อยู่บ้าง นอกเหนือไปจากทุกข์ทางกายอันเกิดตามธรรมชาติ เมื่อนั้นรักต่อตนเองก็ยังมิใช่รักแท้ แต่ยังเป็นรักที่มีเงื่อนไขอยู่ จึงมีความทุกข์เพราะผิดเงื่อนไขหรือทุกข์เพราะต้องพยายามรักษาเงื่อนไขนั้น เพราะไม่รักตัวเองเพียงพอ จิตใจคนเราจึงไขว่คว้าหาเชือกไว้ยึด ไปรักเชือกแทน ไปรักเงื่อนไขแทน แทนที่จะรักตัวเอง เชือกในที่นี้ยังหมายถึงสิ่งนอกตัวที่ใจไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวเกาะ ไปทุ่มเทให้กับสิ่งเหล่านั้น ปกป้องสิ่งเหล่านั้น หรือโจมตีสิ่งดังกล่าว เพราะใจไม่อาจรักตัวเองจึงส่งใจไปกับสิ่งนอกตัวด้วยความคาดหวัง และพยายามยึดเอามาเป็นตัวตนของตัวเอง
.
พอสิ่งดังกล่าวที่ใจเกาะเกี่ยวถูกกระทบหรือเปลี่ยนแปลงไป ใจเราก็ทุกข์ แม้สิ่งนั้นอาจไม่เกี่ยวกับตัวเราเลย หรือเป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น แต่เพราะเรานำมาเป็นตัวตนของตัวเราเอง นำมาเป็นเชือกยึดเหนี่ยวไว้ ใจก็เป็นทุกข์ตาม เรามิได้รักตัวเอง แต่เรารักสิ่งนั้น และนำสิ่งที่เราคาดหวังในตนเองไปคาดหวังกับสิ่งดังกล่าวหรือคนดังกล่าว
.
สิ่งใดที่เราคาดหวังในตัวคนอื่นมาก มักสะท้อนสิ่งที่เราคาดหวังหรือผิดหวังต่อตนเองมาก และสิ่งดังกล่าวก็อาจเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการรักตัวเองของตัวเราด้วย ความรู้สึกต่อบันทึกที่เขียนก็สะท้อนความรู้สึกต่อตัวเราเองเช่นกัน เป็นกลไกการชดเชยความรู้สึกบกพร่องของใจ
.
ความรักต่อตนเองที่แท้จริงมากขึ้น เราจะใช้เงื่อนไขต่างๆ ต่อตนเองอย่างพอดีและนำไปสู่การละวางมากขึ้น การกระทำต่างๆ ในชีวิตและท่าทีต่อผู้อื่นก็ย่อมเป็นไปในทางเดียวกัน ในระหว่างการเขียนเราก็จะเห็นความเบาสบายของมือและใจ แม้กำลังเขียนเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์หรือข้อเสียในตัวเองอยู่ก็ตาม บางคนที่ยังรักตัวเองไม่เป็น พยายามปฏิเสธการเขียนข้อเสียของตัวเองก็มี หรือพยายามสอนตัวเองจนกลบเกลื่อนสิ่งที่รู้สึกจริงๆ ก็มี เหล่านี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของความรู้สึกและท่าทีต่อการเขียนที่สะท้อนความรู้สึกต่อตัวเราเอง
.
ผมกล่าวถึงการใช้เงื่อนไขอย่างพอดี เพราะว่าเงื่อนไขก็มีคุณค่าและความจำเป็นอยู่ด้วย เราใช้เชือกเหล่านั้นในการผ่านพ้นปัญหาต่างๆ มาตั้งแต่วัยเด็ก แสดงว่าสิ่งนั้นก็มีประโยชน์ การที่เรามีเชือกไว้อยู่บ้างก็เพื่อความไม่ประมาท สำหรับกรณีการว่ายน้ำของผมเองนั้น หลังจากรู้ตัวว่าว่ายน้ำเป็นแล้ว ผมก็ยังคงว่ายในคลองสิบห้าหน้าอาศรมฯ อยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่งก็ว่ายกับน้องๆ ตัวน้อยที่ตนดูแลอยู่ เขาก็ว่ายน้ำเป็นอยู่บ้าง แต่มีบางจังหวะที่เขากลัวจนดึงตัวผมไว้แน่นจนเกือบจม นั่นจึงรื้อฟื้นความกลัวในใจผมขึ้นมาใหม่ ในจังหวะนั้นเห็นใจตนเองโกรธเด็กน้อย ก่อนจะยอมรับในความกลัวที่เกิดขึ้น แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็เตือนสติอย่างดีว่า ความวางใจไม่ใช่คำตอบที่สำคัญที่สุด สติและความพอดีเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ในเมื่อเราเคยอยู่อย่างหวาดกลัวมามากแล้วการฝึกวางใจจึงเป็นเงื่อนไขที่เราจะต้องมีให้มากขึ้นเพื่อให้ความระแวดระวังมีความพอดี การที่เราสุดโต่งเกินไปในทางหนึ่งทางใดมาก ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกถึงการรักตัวเอง แต่ยังถูกผลักดัวยความอยากและความกลัวอยู่ เชื่อใจไปหมดทุกสิ่งก็อาจมีความอยากได้เข้ามากับตัวเป็นแรงผลักดัน มีความกลัวผิดหวังและกลัวทุกข์อยู่
.
เคยมีหลายช่วงที่ผมมีความมุ่งมั่นและเชื่อใจมหาศาล พยายามทำสิ่งที่ยากจะเป็นไปได้ให้สำเร็จและขับเคี่ยวเพื่อเริ่มต้นกิจกรรมต่างๆ อย่างมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ โดยไม่รู้ตัวว่าแรงขับเบื้องหลังนั้นเป็นไปเพื่อพยายามพิสูจน์ตัวเอง ความกล้าบ้าบิ่นและทุ่มเทจนเกินตัวเป็นเพียงเครื่องมือที่จิตใจใช้เพื่อหวังได้รับการยอมรับ ความเคารพ และความเชื่อมั่นในศักยภาพ เพราะผมไม่อยากด้อยกว่าใคร ใจก็เหวี่ยงแกว่งไปมาระหว่างการพยายามพิสูจน์ตัวเองและการเฝ้าตำหนิตัวเอง พร้อมกับเสียงในหัวที่ดังครั้งแล้วครั้งเล่าเวลาทำสิ่งต่างๆ
.
กว่าจะรู้ตัวว่าชอบเปรียบเทียบตนกับคนอื่น และทำสิ่งต่างๆ เพื่อพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าตัวฉันแน่เช่นใด ผมก็ล้มเหลวไปหลายครั้งแล้ว นี่เป็นเชือกที่ผูกหัวตัวเองไว้ด้วยการทำสิ่งต่างๆ ให้โดดเด่น เพียงแค่กลัวว่าไม่ด้อยกว่าใครเขา พอรู้ตัวว่าเป็นเช่นนี้ก็อยากเปลี่ยนแปลงตนเอง สิ่งที่ใจผูกร้อยขึ้นมาใหม่กลับเป็นตัวตนอันเคร่งขรึมเกินไป นี่ก็เชือกอีกแบบหนึ่ง เชือกซึ่งผูกรัดทั้งตัวไว้เสียแน่น กว่าจะรู้ตัวว่าผมสร้างตัวตนใหม่มาเพื่อกดข่มตนเก่า ชีวิตเคร่งเครียดนานแล้ว
.
ก่อนนี้ผมรู้ตัวเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลง แต่พอเปลี่ยนแปลงแล้วมันก็สุดเหวี่ยงไปอีกด้านเพื่อหวังเอาชนะปมด้อยอยู่ดี เพราะสิ่งหนึ่งที่ไม่คลายออก คือการรังเกียจตัวเอง พอไม่ชอบตัวเองเราก็จะขยันเปลี่ยนตัวเองอยู่เรื่อยๆ เข้าคอร์สอบรมอยู่เรื่อยๆ หรือตามกระแสใหม่ๆ อยู่ตลอด พอเรารักตัวเองเพิ่มขึ้นแม้เล็กน้อย เมื่อนั้นเราก็เริ่มหยุดลงและยอมรับในสิ่งที่เป็นจริงๆ อย่างเข้าใจ
.
ทำให้เห็นว่าที่ผ่านมามักกล่าวโทษโลกหรือคนอื่นด้วยการประชดประชันหรือน้อยใจต่างๆ เพราะตนเองก็กล่าวโทษตัวเองอยู่มาก มิว่าจะเปลี่ยนแปลงมาเคร่งขรึมแล้วก็ตาม สิ่งที่ผมฝึกตัวเองต่อมาคือการเมตตาด้วยปัญญาว่าผมทำไปเช่นนั้นเพราะอะไร เมตตาด้วยหัวใจว่าผมทำไปเพราะทุกข์มากเพียงใด โอบกอดเด็กน้อยภายในคนนั้นที่พยายามหนีจากการถูกกลั่นแกล้งในวัยเด็กและคำตำหนิต่างๆ จากผู้ใหญ่ เด็กน้อยทำได้ดีที่สุดแล้ว แล้วตัวผมในวันนี้ก็ได้เห็นความกล้าหาญที่จะปล่อยมือและคลายออกจากเชือกเหล่านั้นมากขึ้นแล้ว ซึ่งเครื่องมือการเขียนบันทึกในลักษณะที่ผมสอนอยู่ คือครูและผู้ช่วยเหลือสำคัญ ซึ่งรายละเอียดว่าเขียนอย่างไรมาบ้าง มากเหลือที่จะกล่าวได้ในบทความไม่กี่ตอน แต่เราจะเห็นอย่างชัดเจนเมื่อลงมือทำมากพอที่จะปล่อยมือออกจากเชือก
.
ลักษณะดังกล่าวผมยังเห็นในตัวผู้เรียนและผู้รับคำปรึกษาบางท่าน ซึ่งมีความขยันตั้งใจทำแบบฝึกหัดต่างๆ เป็นจำนวนมาก แต่ยิ่งทำยิ่งสามารถสะท้อนตนเองอย่างเต็มที่ได้น้อยลง ยิ่งทำยิ่งมีความตึงเครียดในจิตใจ ยิ่งพยายามทำมากเข้าก็ยิ่งยึดถือความตั้งใจของตนเองโดยไม่ฟังการทัดทาน ขณะเดียวกันในชีวิตจริงก็มุ่งมาดทำสิ่งต่างๆ มากมายจนเหน็บเหนื่อย เพราะว่าจิตนั้นยึดความสำเร็จและการทำได้ในสิ่งที่หวังมากเกินไป จนมิทันรู้ตัวว่ากำลังมุ่งหน้าหนีตัวเองออกไกลห่าง และอุบัติเหตุและความผิดพลาดเรื่องเล็กน้อยต่างๆ ก็เกิดขึ้นกับตัว
.
จุดสำคัญที่ช่วยให้ผมเปลี่ยนในทางที่ดีจากลักษณะที่กล่าวไว้อย่างก้าวกระโดดคือตอนที่พักจากการสอนคนอื่น มิใช่เพื่อมาสอนตัวเองเท่านั้น แต่ใช้เวลาในการบันทึกเพื่อตนเอง เขียนเพื่อตนเอง สะท้อนทบทวนตนเอง และนำสิ่งต่างๆ ที่เรา “อยาก” นำมาจัดกิจกรรมหรือสอนคนอื่น นำมาทำกับตัวเอง ฝึกตัวเอง จัดกิจกรรมให้ตัวเอง แบบฝึกหัดและเครื่องมือต่างๆ ที่นำมาสอนในหลักสูตร “เขียนเปลี่ยนชีวิต” ต่างเป็นสิ่งที่ผมใช้ฝึกตัวเองมาแล้ว และหลายหัวข้อทำมากกว่าหนึ่งครั้ง ทำต่อเนื่องเป็นเดือนบ้าง หลายเดือนบ้าง ผมเห็นคุณค่าของการฝึกฝนตนเองนับตั้งแต่ตอนนั้น
.
สิ่งนี้ได้ผลสำหรับผมเพราะเชือกเงื่อนปมที่ผ่านมามักเป็นการใส่ใจคนอื่นมากอีกด้วย การที่ผมให้เวลากลับมาเรียนรู้ฝึกตนเองจิตใจจึงได้รับการเติมเต็มการใส่ใจด้วยตนเอง จึงเห็นว่าคำตอบที่เคยยึดติดว่าการรักตัวเองต้องมาจากการให้คนอื่น มิใช่คำตอบที่ตายตัวเพียงหนึ่งเดียว เราเองสามารถให้โอกาสตนได้ค้นพบคำตอบอื่นๆ ของความสุขชีวิตด้วยการลองให้โอกาสตนเองทำสิ่งที่ดีที่แตกต่างจากความเชื่อและเงื่อนไขที่มีอยู่
.
เส้นทางของการเขียนเพื่อรักตัวเอง เป็นเส้นทางของการฝึกฝนตนเอง เราไม่สามารถออกกำลังเพียงครั้งเดียวให้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้นทันที เช่นกัน เราไม่สามารถเขียนบันทึกครั้งเดียวหรือเข้าคอร์สเดียวเพื่อให้มีสุขภาพใจดีขึ้นได้ แต่การมุ่งมาดทำอย่างหักโหมก็มีแต่จะบั่นทอนกายจิตด้วยเช่นกัน เราต้องเป็นกลางในการทำสิ่งต่างๆ จึงชื่อว่ารักตัวเองเป็น
.
เราจะเป็นกลางได้ต้องลดละเงื่อนไขผูกพันหัวใจ เมื่อเราสามารถมองอดีตที่เจ็บปวดด้วยหัวใจเป็นกลางแล้ว นั่นแสดงถึงการรักตัวเองที่เติบโตมากขึ้น เมื่อเรามีความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองนั่นสะท้อนถึงการเห็นคุณค่าในตน แต่ก็ต้องมาพร้อมกับการเห็นว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้นดีพอแล้วมากเพียงใด สุดโต่งไปทางฝั่งไหนย่อมก่อทุกข์และปัญหา การรักตัวเองเป็นมากกว่าความเข้มแข็ง แต่จะอ่อนโยนต่อตัวเองได้อีกด้วย
.
.
อนุรักษ์ ครูโอเล่
.
บทความนี้จะรวบรวมร่วมกับสื่อวิดีโอและแบบฝึกหัด เพื่อเผยแพร่เป็นคอร์สออนไลน์ฟรี “เขียนบันทึกเพื่อรักตัวเอง” ผ่านโครงการ ปัญญ์ สเปซ ในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒
.
สามารถเรียนรู้ผ่านสื่อของหลักสูตร เขียนเปลี่ยนชีวิต หรือเข้าร่วมการอบรมแบบมีค่าใช้จ่าย โดยอ่านรายละเอียดได้ที่ www.dhammaliterary.org/คอร์สการอบรม/