ของขวัญที่ให้…โดย ครูนิตย์

 

ของขวัญที่ให้…โดย ครูนิตย์

ธรรมนนท์ กิจติเวชกุล งานเขียนต่อยอดจากการอบรม “เขียน = ค้นพบตัวเอง”

 

ในเส้นทางการเดินทางของชีวิต ฉันเคยยึดมั่นธรรมเนียมของการซื้อของฝาก การส่งการ์ดในวาระสำคัญของชีวิต การแลกเปลี่ยนของขวัญกับคนที่เจอะเจอกัน แม้ในหลายปีที่ผ่านมาของขวัญ ของฝากที่เป็นวัตถุจางหายไปทั้งในฐานะของผู้ให้และผู้รับ แต่ฉันเชื่อว่าการมอบของขวัญยังคงมีเสมอในทุกวันของชีวิต ในวันนี้ที่ฉันเดินทางมาถึงวัยกลางคน น่าจะเป็นจุดสำคัญในการทบทวนว่าของขวัญที่ให้มันมีคุณค่าหรือความหมายต่อชีวิตของคนๆหนึ่งและผู้คนที่เกี่ยวข้องด้วยอย่างไร และอะไรคือของขวัญที่คนเล็กๆคนหนึ่งได้นำมาสู่โลกใบนี้

หลายปีก่อนเจอข้าราชการป่าไม้คนหนึ่งเดินมาทักทาย ว่าเป็นรุ่นน้องและจำได้ว่าได้รับของฝากที่ระลึกหลังจากฉันกลับจากญี่ปุ่น เขารู้สึกดีใจ ปลื้มใจมาก ฉันเองก็ปลื้มใจว่าของเล็กน้อยที่นำมาฝากผู้คนหลังเดินทางไกลยังอยู่ในความทรงจำของคนบางคน และนี่คงเป็นคุณค่าหนึ่งของของขวัญ คือการรับรู้ว่าการให้ยังคงมีความหมายในโลกใบนี้ ฉันมักให้ของขวัญกับคนที่พบเจอในช่วงเวลานั้นๆของชีวิต เมื่อถามตัวเองว่า เราหลงลืมผู้คนไปมากมายหรือ ความสัมพันธ์ที่ผ่านมามีความหมายต่อชีวิตหรือไม่ แล้วมิตรภาพที่แท้จริงควรเป็นอย่างไร การเก็บรักษามิตรภาพและความสัมพันธ์ของเราคือการสื่อสารหรือของขวัญที่ต่อเนื่องและสม่ำเสมอหรือ สำหรับบางคนมันอาจเป็นเช่นนั้น น่าแปลกที่ฉันมักหลงลืมผู้คนที่เคยพานพบบนเส้นทางชีวิต แม้หลายคนยังคงอยู่ในความทรงจำ อาจไม่มีของขวัญสม่ำเสมอเมื่อยามไกลกัน แต่ฉันมั่นใจว่า “ฉันไม่ทำร้ายใคร” “ฉันพร้อมรับฟังไม่ว่าอยู่ตรงไหน” ของขวัญหรือของที่ระลึกมอบออกไปมีความหมายเสมอในความสัมพันธ์ ณ ปัจจุบันขณะ แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าคือเมื่อเราอยู่ด้วยกัน  นั่นคือเวลาที่เป็นของขวัญแก่กันที่ยิ่งใหญ่

ของขวัญที่ส่งไปบางชิ้นเพื่อบอกถึงการให้อภัยในทุกสิ่ง ฉันเรียนรู้ที่จะพอใจสิ่งที่ให้ หรือแม้กระทั่งการไม่ให้ก็คือการให้ เรียนรู้ที่จะยอมจำนนต่อสิ่งที่กำหนดไม่ได้ มีความศิโรราบต่อความถือตน ได้บ่มเพาะศรัทธาว่าสิ่งที่ให้ไปมันจะเป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ ฉันจะไม่มีวันขาดแคลน และเมื่อเป็นผู้ให้ฉันได้รับยิ่งกว่าใคร นอกจากนั้นฉันยังได้เรียนรู้ที่จะให้ความสำคัญกับการเติบโตและการกลับสู่สมดุล เรียนรู้ที่จะรักและกรุณาต่อตนเอง และได้มองเห็นทั้งความรักจากหัวใจที่ตนมีอยู่แต่หลงลืมไป และเห็นบุญคุณของผู้คนบนเส้นทาง

บ่อยครั้งที่ความคาดหวังต่อการเติบโตของจากของขวัญที่บรรจงจัดสรรให้ไป กลายเป็นความกดดัน ไม่ใช่เขาไม่ชอบ ไม่เห็นคุณค่า แต่ทุกคนจำเป็นต้องใช้พลังจำนงค์ของตนเอง เสมือนการเห็นดาวเหนือนำทางในยามค่ำ การเดินทางเริ่มด้วยสองเท้า และการตระเตรียมสัมภาระของแต่ละคนที่จะทำให้ใครไปได้เพียงใดหรือถึงจุดหมาย ดวงดาวทำได้เพียงส่องแสง หากชีวิตหนึ่งเป็นเสมือนเทียนเล่มน้อย คงได้ได้เพียงส่องแสง และรักษาแสงสว่างให้มีความสว่างอบอุ่นเพียงพอที่ใครสักคนจะได้รับประโยชน์กับแสงเทียนนั้น  ความยาวไกลของการย่างก้าวยังมีอีกหลายเหตุปัจจัยนัก และใครจะรู้ว่าการเห็นแสงเทียนเพียงน้อยนิดนั้นมีอานุภาพเพียงใด บางคนเห็นแค่แสงเทียนริบหรี่ บางคนเห็นเจตจำนงค์ ความมุ่งมั่น บ้างเห็นความเกิดดับ ความไม่คงทนถาวรแล้วก้าวพ้นเรื่องราวเปลือกๆของโลกได้เลยทีเดียว

ของขวัญที่ให้ไปเป็นสิ่งที่รัก เป็นสิ่งที่มีความหมาย ฉะนั้นของขวัญทุกชิ้นล้วนมีความหมาย มีที่มา มีการเกื้อกูลสนับสนุนรวมอยู่ ณ ที่นั้นแล้ว เสมือนว่าบนเส้นทางชีวิต เราได้มีโอกาสพบกัน นั่นเป็นความเบิกบาน เป็นแสงสว่างสดใสที่พอทำให้เห็นหนทางที่จะย่างก้าวไปข้างหน้า เป็นแรงบันดาลใจ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความหวัง ความกล้าที่จะลงมือทำเพื่อการเปลี่ยนแปลง การใช้เวลาร่วมกันเป็นความอบอุ่นและอยู่ในความทรงจำ…มันคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่เราให้แก่กันและกัน

เรื่องราวของของขวัญจึงมิใช่เพียงแสงสว่างสำหรับให้ผู้อื่น เป็นแสงสว่างฉายส่องทุกสิ่งในอาณาบริเวณ เราเติบโตไปพร้อมกับการให้ แสงเทียนสว่างก็คือพลังแห่งแสงเทียนนั้น การละลายตนเองของเทียนมิใช่การเสื่อมโทรมดับสูญ แต่คือการกลายไปเป็นบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า แม้ไม่ปรากฎรูปลักษณ์ให้เห็นด้วยสายตาอันจำกัดของมนุษย์ การเปลี่ยนรูปของเทียนอาจกลายเป็นพลังแห่งความรักอันไม่มีประมาณ และพลังแห่งปัจจุบันขณะ