เราไม่ได้อับแสง แต่เราหลงลืมตัวเอง

ไกด์โลกจิต

บทความ “ไกด์โลกจิต”

ตอน เราไม่ได้อับแสง แต่เราหลงลืมตัวเอง

 

เราทุกคนต่างเหมือนดาวฤกษ์ เรามีแสงสว่างในตนเอง กล่าวคือ ทุกๆ คนต่างมีปัญญาและกำลังความสามารถซึ่งจะช่วยให้เราหาออกและคำตอบใดใดกับชีวิตได้ แต่เหตุใดเราจึงหลงลืมและละเลย แสงสว่างในตน

หลายคนที่วิ่งไล่ไขว่คว้าหาแสงสว่างจากภายนอก ฉวยคว้าบุคคลหรือวัตถุเพื่อช่วยชูพลังใจ ให้มั่นใจให้รู้สึกมีค่า หลายคนเข้าออกการอบรมมากมายหลายหน

เราได้มา สิ่งต่างๆ ที่ไขว่คว้าเพื่อหวังเติมพลังและแสงสว่าง รู้สึกเหมือนมีพลังมากมายในตอนต้น กลับแล้วเวลาผ่านเลยก็แห้งเหี่ยว หมดพลัง เบื่อหน่าย ไร้คุณค่า

ดังว่าเรากำลังหลงทาง เที่ยวไล่แสงสว่างจากดาวดวงอื่น หมายมั่นให้ดาวตนนั้นสุกใส

เราอาจเกาะกระแสแฟชั่น ยึดโยงเพจโซเชียลข่าวสารออนไลน์ เกาะติดการอบรมเทรนนิ่ง ฉวยเอาคุณค่าของสิ่งอื่นเข้ามาเป็นของตน เหมือนดังดวงดาวเอาตัวรับแสงจากดาวอื่น หลงลืมคุณค่าและความงามที่ตนเองมี

ทั้งที่เราตางมีจิตใจเหมือนกัน มีจิตใจที่มีอำนาจจิต คิดปรุงแต่งและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้ เหตุใดเราจึงขาดพลังและโหยหาสิ่งอื่นทดแทน แต่เหตุใดคนบางคนกลับยืนหยัดด้วยแสงสว่างของตนเองได้

ย้อนมองที่การโหยหาของตัวเรา เราอาจพยายามเป็นอะไรที่อาจไม่ใช่ตัวเราเลย เราอาจไขว่คว้าบางสิ่งมาทั้งที่รู้ว่ามันไม่ยั่งยืน

จิตใจที่คิดถึงส่วนขาดไป มักเห็นแต่สิ่งที่ขาดนั้นจนลืมความดีหรือสิ่งที่ดีที่มีอยู่แล้ว  เพราะการให้คุณค่ากับสิ่งที่ขาดไป จึงละเลยคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ ความรู้สึกไม่พอใจ หรือโหยหาก็เกิดขึ้นตามมา

บางทีเราก็รู้แล้วว่าตนเองมีแสงสว่างอยู่ภายใน มีปัญญา มีพลัง แต่เราขาดความแน่ใจว่ามันมีคุณค่ามากเพียงพอ หรือไม่กล้านำมันออกมาใช้ด้วยตัวเราเอง

ย้อนมองที่การพึ่งพิงของตัวเรา เราพึ่งพาบางสิ่งมากเกินไปหรือไม่ จนเราลืมการพึ่งพาตนเองอย่างแท้จริง

แม้ดวงดาวต่างต้องโคจรด้วยแรงโน้มถ่วงของดาวดวงอื่น นั่นหมายความว่าพลังของเราทุกคนต่างมีอิทธิพลต่อกันและกัน

แต่ดาวทุกดวงนั้นย่อมต้องหมุนรอบตนเองด้วย และผลักดันพลังมหาศาลเปล่งแสงสว่าง ยืนยันคุณค่าต่อผืนผ้าดำแห่งจักรวาล

เราอาจเคยชินที่จะพึ่งพาพลังจากสิ่งอื่นๆ จนเคยตัว เมื่อยามความท้อถอยมาเยือน หรือเหตุการณ์ปัญหาซ้ำซากหวนกลับ เราก็ขาดแรงผลักดันในตนเพื่อก้าวทะลุร่องรอยเดิมที่เราเคยเดินซ้ำ

ทำใหม่ พูดใหม่ คิดใหม่ ให้ไปในทางแก้ปัญหาและทางออก ไม่ใช่ทางตัน

แม้อ่านหนังสือคู่มือสร้างสุข สร้างความสำเร็จ และเทคนิคพิชิตอุปสรรค มากมายเพียงใด หากไร้การทำและผลักดันด้วยตนเองแล้ว กองตัวอักษรและความรู้ต่างๆ ก็จะถมทับเราอยู่กับความมืดมน

พลังและแสงสว่างยังคงหลับไหลอยู่ในเราหลายๆ คนบนโลก เป็นดังดวงดาวที่รอวันฉายแสง 

ต่อจากคำถามว่า ทำไมเราจึงละเลยพลังในตนเอง

ควรถามต่อว่า เราจะทำอะไร คิดอะไร และอยู่อย่างไร ให้เรานำพลังในตนเองมาใช้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

เมื่อเราแลเห็นพลังข้างใน ประตูที่เหมือนปิดตายมาโดยตลอด เพราะรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจะเปิดแง้ม สองมือก็พร้อมแล้วจะพิสูจน์ศรัทธา

ย้อนมองใหม่ถึงช่วงวันและเวลาที่เรามีพลังในตนเอง สิ่งเหล่านั้นมิเคยร้างหาย ยังคงรอคอยการปลุกให้ตื่น

ย้อนมองใหม่ว่าคุณค่าของชีวิตเราแท้จริงแล้ววัดที่สิ่งใดกันแน่ มีอะไรบ้างที่บั่นทอนคุณค่าซึ่งควรตัดทิ้ง

รถต้องหมั่นติดเครื่องยนต์มิปล่อยทิ้งร้างนาน ฉันใด คนเราย่อมต้องคอยปลุกพลังในตนเอง มินอนแช่ปล่อยพลังลดเลือนเฉื่อยชา

ลงมือกระทำ ซ้ำแล้วซ้ำอีก หากแม้กายจิตเหมือนรถยนต์ติดเครื่องยาก ดับง่าย เพียรหมั่นติดเครื่องใหม่ มิหยุดบังคับแล้วปล่อยรถไหลล่องตามถนน

ตรวจเช็คให้ดีว่า ภายในเครื่องยนต์จิตและกาย มีอะไรต้องซ่อมแซมเพื่อคืนระบบสมรรถนะแก่ชีวิต

ดูแลจิตที่สั่งจิตตนเองว่า ความคิดใด อารมณ์ใด และท่าทีต่อตัวเองอย่างไร ที่บั่นทอนพลังงานของชีวิต ต้องคิดอย่างไร ปลุกอารมณ์ใด และดูแลตนอยางไร จึงสั่งจิตด้วยกายและจิตให้เราเปล่งแสงสว่างในตนไม่ละเลย

แม้รอบข้างมืดดำอับแสง เพียงหนึ่งดวงที่กล้าริเริ่ม แสงหนึ่งน้อยย่อมแต้มแต่งจักรวาล และส่องทางได้กว้างไกล

ยามชีวิตมืดมน อับจนหนทาง มิว่าเราเองหรือคนอื่นใกล้ตัว เพียงหนึ่งแสงของจิตคิดทางออก ย่อมเป็นหนึ่งแรงที่จะต่อเติมแสงให้ลุกโชติอีกมากมาย

ครูโอเล่  สถาบันธรรมวรรณศิลป์

คอลัมน์ “ไกด์โลกจิต”  

https://www.dhammaliterary.org/?page_id=3493