ค้นพบตัวเองอย่างต้นไม้

 

 

หลังจากเราย้ายบ้านขององค์กรและที่จำศีลของตนเอง ผมพบว่าการปลูกต้นไม้ และเฝ้าดูแลการเติบโตของพี่น้องแตกใบเหล่านี้ให้ความสุขในแบบที่ไม่คิดฝัน ท่ามกลางพื้นที่เล็กๆ พวกเขาทยอยสร้างความประหลาดใจและความอิ่มใจกับการทักทายมนุษย์ผู้อาศัย ด้วยการพิสูจน์ที่ทางของการมีชีวิต ดินกระถางน้อยๆ ถูกแต้มด้วยกลีบใบทีละนิดดุจหยดสีลงในผืนผ้าน้ำตาล ต้นอ่อนทานตะวันลากเลื้อยตัวเองไขว่คว้าหาแสงสว่าง ต้นตำลึงที่ไม่ได้ปลูกเองแต่คิดหวังในใจอยากปลูกมาร่วมสองเดือน จู่ๆ ก็ผุดงอกขึ้นใกล้ท่อน้ำ สายลมใดพัดพามากันหนอ กระทั่งยามลงต้นไผ่หน้าเรือน ผู้ใจบุญก็นำต้นไม้และโอ่งน้ำมามอบให้ทันที

 

ผมไม่ได้ปลูกต้นไม้เพราะเป็นงานอดิเรก หรือเป็นความจำเป็นของการแต่งบ้าน แต่เพราะความสุขและคุณค่าอย่างหนึ่งที่ผมไม่ได้สังเกตในคราวแรก แอบซ่อนอยู่ในการกระทำ คนเรามีที่ทางการค้นพบตัวเองได้หลากหลาย และมีที่ทางให้ตนเองหยัดยืนได้เสมอ บางครั้งเราก็ได้แต่รดน้ำและมองดูการต่อสู้กับความมืด จนกระทั่งมันงอกใบสู่แสงสว่างด้วยตนเอง บางครั้งเราก็หยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่ตนและคนอื่นได้บ้าง แต่กระนั้นทุกชีวิตมีหนทางและที่ทางให้ตนเองแตกใบ แม้มันไม่ใช่วันนี้ก็ตาม

 

การค้นพบตัวเองอาจจุดประกายขึ้นในการอบรม จากวิทยากรและกระบวนการต่างๆ หรือการแสวงหาด้วยวิถีนานา อาจบ่มปัญญาจากการสะท้อนและการถูกวิจารณ์จากผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นเหมือนกับรดน้ำทีละครั้งทีละครั้ง แก่เมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในเนื้อตัวและนาใจ คำสอนที่ดีและประสบการณ์ที่ดีอาจเป็นปุ๋ยเลอคุณค่า ความทุกข์เน่าเปื่อยกลายเป็นซากก็ล้วนเกื้อกูลต่อการเติบโต กระนั้น เมล็ดพันธุ์ใดใดจะงอกงามขึ้นมาได้ ปัจจัยภายนอกมิเคยเพียงพอ แต่ด้วยลงมือทำเพื่อก้าวข้ามจากเปลือกเมล็ดพันธุ์สู่ต้นอ่อนและทยอยเหยียดยอดใบสู่แสง เป็นหน้าที่ของชีวิต

 

เราก็เหมือนเมล็ดพันธุ์ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าข้างในตนเองเป็นอะไร จะมีสีสันสักเพียงไหน จนกว่าเราจะยอมโตขึ้นและแตกกิ่งใบออกมา เมื่อดอกแย้มบานเราจะเห็นว่าตนเองงามเพียงใด ผมค้นพบแรงผลักดันตนเองระหว่างการลงดิน รดน้ำ จัดแจงหาที่ทางแก่ต้นอ่อนน้อยๆ ว่าผมมีความสุขกับการบ่มเพาะและหยั่งเห็นการเติบโตมาก เป็นความสุขที่สงบใจ ไม่ต้องใฝ่หาจากสิ่งใด มีอยู่แล้วและดับไป เกิดขึ้นใหม่ตามจังหวะเวลา โอ้ แรงผลักดันนี่เองที่พาผมมีคนเรียกว่า “ครู” แม้ไม่ได้สังกัดโรงเรียนใด แม้ไม่ได้เป็นโค้ชหรือเป็นวิทยากรมีมาดมั่น แค่ผมอยู่กับต้นไม้เหล่านั้นและข้างในตนเอง สอนอย่างที่สอนตัวเอง

 

เคยมีคนเปรยว่า การค้นพบตัวเองหรือการรู้จักตนเอง จะไปสิ้นสุดลงตรงไหน จะต้องรู้จักตนเองอีกมากเท่าใด ทั้งผมเองและใครอื่นเคยตอบว่า มันเป็นการเดินทางตลอดชีวิต จนกว่าเราจะละซึ่งอวิชชาหรือ “ความไม่รู้” ได้อย่างได้แท้จริง กระนั้นการเข้าอบรมมากมายเพื่อ “รู้” ก็ยังเป็น “ความไม่รู้” ได้เช่นกัน

 

เวลานี้ต้นไม้บอกถึงจุดสิ้นสุดของการค้นพบตัวเองเป็นอีกอย่าง ไม่ใช่ด้วยถ้อยคำหรือการเปรียบเทียบความหมาย พี่น้องแตกใบเพียงยืนต้นอยู่ตรงนั้น เรียนรู้กับดินฟ้า และทำตามหน้าที่ชีวิต สอนชีวิตอื่นเช่นนั้นอย่างที่มันเป็น

 

ลงมือกระทำ ไม่ว่าเรานิยามการรู้จักตนเองไว้มากเท่าใด ในการลงมือกระทำนั้น มีเนื้อตัวและนาใจอยู่ ไม่มากก็น้อย เราอาจแลเห็นแลผลักดันบางอย่างที่เป็นคุณค่าของชีวิตอย่างที่เราปรารถนาเลือก ความสุขเล็กๆ ในแต่ละวัน อาจสามารถรังสรรค์สู่ก้าวใหม่ของชีวิต บางสิ่งที่จำเจหรือน่าเบื่อหน่ายในแต่ละวัน อาจซ่อนหยดน้ำที่บ่มบางเมล็ดข้างในนี้

 

ผมคงไม่ได้มารดน้ำต้นไม้และพบความสุขใจ หากไม่ได้ผ่านช่วงเวลาของการทำงานประสานงาน ติดต่อโทรศัทพ์ ทำเว็บไซต์ เปิดหมวกขอรับบริจาค นั่งขายหนังสือในงานอบรม เลี้ยงลูกอาจารย์ และอีกการงานที่ฝืดฝืนแรงขี้เกียจและความหน่ายเหนื่อยของตนเอง มีคนถามผมไม่น้อยว่าตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัย ผมทำอะไรบ้างจึงมาถึงวันนี้ได้ คำตอบที่กระชับและชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งคือ “ทำทุกอย่าง ทำทุกอย่าง”

 

คำตอบที่ตอบยากมากกว่า คือ ผมอ่านหนังสืออะไรเกี่ยวกับเรื่องที่สอน ผมอ่านหนังสือใหม่ๆ ไม่มากนัก โดยเฉพาะช่วง ๒ ปีมากนี้ หนังสืออะไรจะเข้าใจแตกฉานในสิ่งที่ผมสอนและทำงานอยู่ แต่ละเล่มเหมือนจิ๊กซอชิ้นกระจ้อย วรรณกรรม ปรัชญา จิตวิทยา ธุรกิจ สมุนไพร ฯลฯ ถ้าต้องตอบจริงจังคงเป็นหนังสือทุกเล่มและทุกหมวดที่เคยอ่าน วรรณกรรมก็สอนผมเรื่องการสะกดจิตและท่าทีมนุษย์มากทีเดียวไม่แพ้หนังสือจิตวิทยา แผนงานธุรกิจผมก็นำมาปรับใช้กับกระบวนการเขียนบางรูปแบบ ทุกเล่มเป็นหยดน้ำและปุ๋ย หนังสยองขวัญก็สอนผมเรื่องความกลัวและการยึดติด เช่นเดียวกับความรู้จากครูอาจารย์ แต่หนังสือและการเข้าอบรม ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น แต่เป็นการเรียนรู้จากการลงมือทำ ลองผิด ลองถูก เหมือนปลูกต้นไม้ แต่เรากำลังปลูกตนเอง

 

ข้อคิดอย่างหนึ่งที่เราไม่ควรพลาดคือ การใส่น้ำและปุ๋ยมากเกินไปนั้นไม่ดี ความโหยหาภายในตัวเราอาจพัดพาตัวเองไปเรียนนั่นเรียนนี่ไม่สิ้นสุด หรืออีกด้านก็ลงมือกระทำเยอะไปหมด จับจดแต่ไม่ได้จับจุด ไม่ได้ลงลึกหยั่งรากที่ดินใด

 

อย่าย้ายกระถางหรือที่ปลูกมากเกินไป หรือเร็วเกินไป จนเราไม่ได้เรียนรู้กับสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ เราก็อาจอยากลองนั่นลองทำนี่ไปหมด พอเบื่อแล้วก็ทิ้งร้าง ไม่ได้กำไร แค่ผลัดเปลี่ยนไปตามความอยาก เจอความทุกข์ก็ถอยหนี รากก็ไม่ได้งอกลงซึมซับคุณค่าในเนื้อดิน นี่กลัวความทุกข์กับหมดสนุกจนไม่ได้เติบโต

 

ลมกระโชกแรงพัดมาแต่ฟ้าไกล ต้นไม้สะบัดกิ่งใบกระทบสังกะสีข้างบ้านเปรี้ยงปร้างและลากถูครืนคราง ฝนตั้งเค้าแสงสลัว ต้นไม้พร้อมจะต้อนรับหยาดน้ำอีกนับร้อย ผมหยุดมือพิมพ์บทความออกมาสูดอากาศชื้นเหงื่อเมฆ หน้าต่างชั้นบนถูกลมพัดซัดไม้ผุหน้าต่างหักพัง จากช่างเขียนมาเป็นช่างแงะ ชีวิตต่อทบบทเรียนอีกจังหวะอีกครั้งครา

 

___
ครูโอเล่
คอลัมน์ “ไกด์โลกจิต”