๔ ข้อคิด “ทำใจ” จากเมฆ (ตอนแรก)

 

 

๔ ข้อคิด “ทำใจ” จากเมฆ (ตอนแรก)

เวลาหัวใจเราถูกรบกวนจากความเศร้า ความเครียด และอารมณ์ลบต่างๆ การทำใจตนเองก็เป็นทางออกหนึ่งที่สำคัญ เพราะหลายสิ่ง “ภายนอก” เราไม่อาจลิขิตหรือเลือกไม่ให้เกิดไม่ได้ ใจเขาใจเรา ต่างมีหน้าต้องดูแลของตนเอง วิธีที่จะ “ทำใจ” ของแต่ละคนก็สุดแท้แตกต่างกันไปตามนิสัยใจคอและการเรียนรู้ บางคนทำใจกับความเศร้าได้ไว บางคนอาจนานเสียหน่อย แต่สิ่งที่ดีที่ช่วยให้เราทำใจให้ปลดปล่อยจากทุกข์ได้นั้นมีอยู่ในตัวเราและรอบตัวมากมาย
.
บทความนี้ขอยกตัวอย่างข้อคิด จากเมฆและท้องฟ้า เพื่อบอกแก่หัวใจเรา หรือใครก็ตามที่เราอยากช่วยเขา “ทำใจ”
.
๑ หัวใจที่หม่นหมองเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว ความเสียใจไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน อารมณ์เหมือนเมฆที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง : ท้องฟ้าเป็นเหมือนภาพยนต์เรื่องยาวที่ฉายเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกคืนวัน ตอนนี้เราเห็นเมฆเป็นแบบนั้น ท้องฟ้าสดใสหรือหมองหม่นแบบนี้ อีกชั่วโมงหนึ่งหรือวันต่อไป เมฆและฟ้าก็แปรเปลี่ยนไปแล้ว
.
หัวใจคนก็เป็นดั่งท้องฟ้านี่เอง เมฆก็คืออารมณ์มากมาย แวะเวียนมาและพร้อมจากไป ก่อนหน้าที่เราจะเครียด เราอาจกำลังหัวเราะอยู่ ก่อนหน้าน้ำตารินไหล ตอนนั้นเราอาจกำลังชื่นชมยินดีกับสิ่งที่ได้เจอ แต่เวลาเราเศร้าใจหรือเครียดทุกข์หนัก เราอาจเผลอคิดไปว่าท้องฟ้าของจิตใจเราจะคงที่อยู่อย่างนั้น จะมืดหมองอย่างนั้นตลอดไป
.
ในความจริงแล้ว ไม่มีท้องฟ้า ก้อนเมฆ และหัวใจใครที่จะคงที่อย่างนั้นตลอดกาล ทุกสิ่งคือการเปลี่ยนแปลง คนที่เราคาดหวังให้เขาเป็นเหมือนเดิม ทำกับเราเหมือนเดิม ย่อมมีเหตุปัจจัยทำให้เขาเปลี่ยนท่าทีเหล่านั้น บางครั้งเราก็กลัวไปเองว่าเขารักเราน้อยลง หรือเราไม่มีค่า แต่สิ่งเหล่านั้นเราเพียงกลัวไปเองเท่านั้น เพราะเมฆอารมณ์ก็เพียงเดินทางมายังท้องฟ้าหัวใจ ความคิดลบต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลาเราเสียใจ ก็เป็นเพียงเมฆชั่วคราว ซึ่งพร้อมจะพัดพาหายไปเมื่ออารมณ์เปลี่ยน ทั้งเราเองและตัวเขาด้วย
.
สิ่งต่างๆ ในชีวิตที่เราสะสมและหวังให้มั่นคงนั้น แท้จริงก็เป็นเพียงธรรมชาติ เหมือนก้อนเมฆที่เป็นรูปร่างดั่งใจหวัง แต่วันหนึ่งเมื่อสายลมแห่งโชคชะตาและเหตุผลนานาก็ทำให้เมฆและสิ่งที่เราหวังรักษา เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ขึ้นอยู่กับเราแล้วว่าจะถวิลหาหรือพยายามทำให้เป็นดั่งเก่า หรือเฝ้ามองดูเมฆและฟ้าของชีวิตที่แปรเปลี่ยนให้เห็นความงดงามและประโยชน์ที่จะทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้นกว่าเดิม
.
แน่นอนว่าการเสียใจแล้วจมอยู่กับที่ อาลัยกับเมฆที่ผ่านพ้น ย่อมมิช่วยให้เราแก้ไขทั้งสิ่งเก่าและเริ่มต้นสิ่งใหม่ได้เลย ก้อนเมฆที่ต้องผจญกับการเปลี่ยนแปลงแทบทุกนาที ซึ่งหากเป็นคนทั่วไปคงรู้สึกว่าชีวิตยุ่งยากเหลือเกิน แต่เมฆก็ยังมิเคยรั้งรออยากอยู่กับที่นานๆ เลย แต่พร้อมที่จะเคลื่อนหรือก้าวต่อไปไม่หยุดนิ่ง สู่การริเริ่มใหม่เสมอ แม้จังหวะการก้าวย่างนั้นอาจช้าบ้างก็ตาม
.
๒ การร้องไห้และความเสียใจไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นความกล้าจะปลดปล่อยหัวใจตนเอง และเปิดโอกาสการเริ่มต้น ดั่งเมฆฝน : เวลาที่เศร้ามันก็ยากที่จะคิดและทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ นั่นก็เหมือนกับเวลาท้องฟ้ามีเมฆมาก ย่อมบดบัดดวงดาวและสีฟ้าของท้องฟ้าเสียหมด เวลาที่ตัวเราหรือคนอื่นกำลังเสียใจนั้น ความรู้ ข้อคิดหรือเหตุผลต่างๆ ก็อาจไม่มีความหมาย เพราะหัวใจต้องการดูแลและผ่อนคลายจากความรู้สึกที่เกิดขึ้น น้ำตาและการระบายความรู้สึกจึงเป็นสิ่งสำคัญ การดูแลอารมณ์จึงควรมาก่อนการสอนสั่ง ทั้งต่อตัวเราและเพื่อนใกล้ตัว
.
สำหรับก้อนเมฆ เมื่ออุ้มน้ำหนักนักแล้วก็ปล่อยตัวทิ้งลงมาเป็นสายฝน เปรียบดั่งน้ำตาของท้องฟ้า ช่วงเวลานั้นมันอาจดูมืดมน เวลายามฝนตกในใจอาจยาวนานกว่าที่เป็นจริง จนฝนซาจางคลายแล้ว ฟ้าที่สดใสและแสงสว่างก็เผยขึ้น น้ำตาของมนุษย์ก็เช่นกัน เราไม่ควรกลัวว่าการร้องไห้และการแสดงออกถึงความเศร้าความเสียใจจะเป็นความอ่อนแอ หรือทำให้คนอื่นมองเราไม่มีคุณค่า แต่การเปิดโอกาสให้ตนเองอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกอย่างที่เป็นจริง เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเติบโตจากปัญหา และดีต่อสุขภาพจิตใจ ขณะที่ตรงข้ามการพยายามปฏิเสธความรู้สึกที่เป็นจริง ด้วยการกลบเกลื่อนแบบต่างๆ หรือที่เราเรียกว่า ลืมมันไป อาจไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา เพราะอารมณ์นั้นก็ยังอยู่ในจิตใต้สำนึก เหมือนเมฆที่หม่นมัวไม่ยอมเทสายฝนก็ย่อมลอยค้างอยู่อย่างนั่น ลองจินตนาการดูว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องใช้ชีวิตโดยมีเมฆหม่นๆ มัวๆ ลอยอยู่บนหัวเราตลอด
.
ในศาสนาพุทธสอนเราให้กล้าหาญเผชิญหน้ากับความทุกข์ ด้วยสติและเปลี่ยนให้ความทุกข์เป็นมิตรและปัญญา เพื่อให้เราไม่ต้องใช้ชีวิตและทำซ้ำจนเกิดความทุกข์อย่างเก่าขึ้นมาอีก หากเราหลีกเลี่ยงไม่ยอมทุกข์หรืออยู่กับความรู้สึกตนเองตามที่เป็นจริงเลย เราอาจกระทำแบบเดิมๆ ที่ก่อปัญหาขึ้นมาอีก หรือจมอยู่กับความรู้สึกลบอย่างไม่รู้ตัว สะสมเป็นความเครียดและปัญหาด้านสุขภาพจิตกับสุขภาพกายที่หนักกว่าเดิม
.
ดังนั้นการร้องไห้และการอนุญาตให้ตนเองได้เสียใจ จึงเป็นความเข้มแข็งมากกว่าความอ่อนแอ เพราะคนที่อ่อนแอเท่านั้นจึงไม่กล้าสัมผัสรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองและคนอื่น เมื่อเราเห็นคนร้องไห้หรือเพื่อนเสียใจ อย่าเพิ่งตีความว่าเขากำลังอ่อนแอและเราเข้มแข็งกว่า บางทีอาจเป็นเราที่แอบหวั่นไหวกับน้ำตาและความเศร้าเหล่านั้น
.
เหมือนเมฆที่แปรเปลี่ยนเป็นฝน แบ่งปันหยดน้ำจากฟ้าสู่ดิน การร้องไห้และระบายความรู้สึกออกมาอย่างเหมาะสม ย่อมเป็นการถ่ายเทภาระความทุกข์ใจในตัวเราออกมา ไม่แบกรับไว้เป็นเรื่องของตนเอง เพราะทุกความเสียใจนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเราหรือใครสักคนเพียงลำพัง แต่เป็นปัจจัยที่ก่อประกอบร่วมกันมากมาย มิใช่แค่ระหว่างสองคน หรือเรากับปัญหาเท่านั้น แต่ทุกสิ่งล้วนเป็นปัจจัยแก่กัน เหมือนเมฆๆ หนึ่งก็เกิดจากไอน้ำน้อยๆ มากมายหลายมาเจอะเจอกัน
.
เราไม่ควรแบกรับความทุกข์ใจไว้เป็นสมบัติส่วนตัว เพราะท้องฟ้ายังไม่เคยหวงแหนเมฆฝนใดเป็นของตนเองเลย การเล่าความทุกข์ใจออกมานั้นเป็นอุบายที่ช่วยให้เราปล่อยวางการยึดมั่นถือมั่นในเหตุการณ์หรือคนๆ นั้นอีกด้วย ยิ่งเรายึดมั่นสิ่งใดเป็นของตัวเองมากเท่าใด เรายิ่งเป็นทุกข์มากเท่านั้น เหมือนการแบกไว้กับตัวตลอด หากท้องฟ้าแบกรับก้อนเมฆไว้ทั้งหมด คงอัดแน่นอยู่บนนั้นจนไม่มีที่ทางให้ดวงดาราและนกเลย เหตุการณ์ไม่ดีในชีวิตก็เพียงเมฆที่ผ่านมาเพื่อจะผ่านเลยไป ไม่ควรถือไว้ว่าเป็นของฉัน เรื่องของฉัน หรือตัวฉัน แค่เมฆลอยมาแต้มแต่งท้องฟ้าชั่วคราว
.
เมื่อเรารับรู้และดูแลอารมณ์ลบในใจเราอย่างมีสติเพียงพอ ณ ตอนนั้นก็เหมือนดั่งเมฆที่แปรเปลี่ยนเป็นฝนแล้ว มิเพียงแค่หัวใจหรือท้องฟ้าสว่างขึ้น แต่ต้นไม้ต่างๆ ที่ได้รับน้ำก็พลอยชื่นเย็นและผลิบานตาม นั่นเองสอนเราว่า ความทุกข์ที่เกิดกับใจเราอาจก่อแรงบันดาลใจและเป็นบทเรียนแก่ผู้อื่นด้วย ความเศร้าและความเสียใจที่เกิดกับตัวอาจบ่มเป็นพลังสร้างสรรค์หรือริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ให้แก่ตนเองได้ เมื่อเรากล้าปล่อยมันออกมา
.
ครูโอเล่
วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๐ คอลัมน์ #ไกด์โลกจิต
www.dhammaliterary.org